หมวดหมู่
▼
22 กรกฎาคม 2557
ปฏิทิน 5 ปี
วันนี้ตรงกับ
ปีนักษัตร
|
S:อา | M:จ | T:อ | W:พ | T:พฤ | F:ศ | S:ส |
---|---|---|---|---|---|---|
เลือกเดือนปฏิทินที่ต้องการแสดง |
13 กรกฎาคม 2557
เพลง ความฝันอันสูงสุด
ต้นฉบับเดิม ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ขับร้อง
เสียง เรือตรี สันติ ลุนเผ่ ขับร้อง
เนื้อเพลง เพลง : ความฝันอันสูงสุด
ศิลปิน : อัลบั้ม : ทำนอง :
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คำร้อง : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค
......
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=all4u&month=12-006&group=8&date=31&gblog=2
ประวัติของเพลง เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เล่าไว้ในหนังสือ "ภิรมย์รัตน์" ว่า เมื่อตามเสด็จฯไปอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้เขียนบทกลอนแสดงความนิยมส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจทำงานเพื่ออุดมคติเพื่อประเทศชาติ "ข้าพเจ้าค่อย ๆ คิดหาคำ กลั่นกรองให้ตรงกับความหมายเท่าที่จะสามารถ แล้วทูลเกล้าฯ ถวายทอดพระเนตร ทรงพระกรุณาติชม จนผลสุดท้ายออกมาเป็นกลอน ๕ บท ความบันดาลใจในเรื่องนี้มีที่มาจากการสังเกตของข้าพเจ้า ได้รู้เห็นพระราชอัธยาศัย พระราชจริยวัตร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เสื่อมคลาย" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดให้พิมพ์บทกลอนนี้ลงในกระดาษการ์ดแผ่นเล็ก ๆ พระราชทาน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี เพราะ บ้านเมืองขณะนั้นยุ่งอลเวง น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติ ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน "ความฝันอันสูงสุด" ดังที่เป็นเพลงพระราชนิพนธ์รู้จักกันแพร่หลายทุกวันนี้ นับเป็น เพลงพระราชนิพนธ์แรกที่ได้ทรงจากคำร้อง
ที่มา : http://www.thaiblogger.org/2006/07/27/kwarm-fun-un-soong-sood.html http://web.ku.ac.th/king72/2530/hight_dream.html
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาคประพันธ์กลอน ความฝันอันสูงสุด โดยถอดความมาจากเพลง The Impossible Dream ซึ่งเป็นเพลงละครบรอดเวย์ มาจากเรื่อง Man of La Mancha แสดงระหว่างปี 2508-2514 บทละครเขียนโดย Dale Wasserman ทำนองเพลงโดย Mitch Leigh และคำร้องโดย Joe Darion ต่อมาได้รับการสร้างเป็นหนังในปี 2515 เป็นเรื่องราวของดอน กิโฮเต้ (Don Quixote)
"The Impossible Dream"
Artist : Andy Williams
หรือ Elvis Presley (เท่าที่พบข้อมูล)
Album : เพลงละครบรอดเวย์
เรื่อง Man of La Mancha
ทำนอง : Mitch Leigh
คำร้อง : Joe Darion
.. To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are too weary
To reach the unreachable star
This is my quest
To follow that star
No matter how hopeless
No matter how far
To fight for the right
Without question or pause
To be willing to march into
Hell For a heavenly cause
And I know if I'll only be true
To this glorious quest
That my heart will lie peaceful and calm
When I'm laid to my rest
And the world will be better for this
That one man, scorned and covered with scars
Still strove with his last ounce of courage
To reach the unreachable star
ที่มา : http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1066 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=954652
พล ตต. เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน
รอง ผบ.ตำรวจตระเวนชายแดน
ได้เล่าประวัติความเป็นมา ของเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ไว้ในหนังสือ "วารสารลูกเสือชาวบ้าน" ของ มานพ ลิ้มจรูญ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อว่า
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจาก พระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย
และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยปัจจุบันนี้เอง -webmaster) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน จักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน
และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิต เพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้
ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป
เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว และจากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา..... จาก http://www.jthai.ob.tc/article/dream.htm
|
|
เนื้อเพลง เพลง : ความฝันอันสูงสุด
ศิลปิน : อัลบั้ม : ทำนอง :
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คำร้อง : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค
......
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=all4u&month=12-006&group=8&date=31&gblog=2
ประวัติของเพลง เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เล่าไว้ในหนังสือ "ภิรมย์รัตน์" ว่า เมื่อตามเสด็จฯไปอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้เขียนบทกลอนแสดงความนิยมส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจทำงานเพื่ออุดมคติเพื่อประเทศชาติ "ข้าพเจ้าค่อย ๆ คิดหาคำ กลั่นกรองให้ตรงกับความหมายเท่าที่จะสามารถ แล้วทูลเกล้าฯ ถวายทอดพระเนตร ทรงพระกรุณาติชม จนผลสุดท้ายออกมาเป็นกลอน ๕ บท ความบันดาลใจในเรื่องนี้มีที่มาจากการสังเกตของข้าพเจ้า ได้รู้เห็นพระราชอัธยาศัย พระราชจริยวัตร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เสื่อมคลาย" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดให้พิมพ์บทกลอนนี้ลงในกระดาษการ์ดแผ่นเล็ก ๆ พระราชทาน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี เพราะ บ้านเมืองขณะนั้นยุ่งอลเวง น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติ ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน "ความฝันอันสูงสุด" ดังที่เป็นเพลงพระราชนิพนธ์รู้จักกันแพร่หลายทุกวันนี้ นับเป็น เพลงพระราชนิพนธ์แรกที่ได้ทรงจากคำร้อง
ที่มา : http://www.thaiblogger.org/2006/07/27/kwarm-fun-un-soong-sood.html http://web.ku.ac.th/king72/2530/hight_dream.html
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาคประพันธ์กลอน ความฝันอันสูงสุด โดยถอดความมาจากเพลง The Impossible Dream ซึ่งเป็นเพลงละครบรอดเวย์ มาจากเรื่อง Man of La Mancha แสดงระหว่างปี 2508-2514 บทละครเขียนโดย Dale Wasserman ทำนองเพลงโดย Mitch Leigh และคำร้องโดย Joe Darion ต่อมาได้รับการสร้างเป็นหนังในปี 2515 เป็นเรื่องราวของดอน กิโฮเต้ (Don Quixote)
"The Impossible Dream"
Artist : Andy Williams
หรือ Elvis Presley (เท่าที่พบข้อมูล)
Album : เพลงละครบรอดเวย์
เรื่อง Man of La Mancha
ทำนอง : Mitch Leigh
คำร้อง : Joe Darion
.. To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are too weary
To reach the unreachable star
This is my quest
To follow that star
No matter how hopeless
No matter how far
To fight for the right
Without question or pause
To be willing to march into
Hell For a heavenly cause
And I know if I'll only be true
To this glorious quest
That my heart will lie peaceful and calm
When I'm laid to my rest
And the world will be better for this
That one man, scorned and covered with scars
Still strove with his last ounce of courage
To reach the unreachable star
ที่มา : http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1066 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=954652
พล ตต. เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน
รอง ผบ.ตำรวจตระเวนชายแดน
ได้เล่าประวัติความเป็นมา ของเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ไว้ในหนังสือ "วารสารลูกเสือชาวบ้าน" ของ มานพ ลิ้มจรูญ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อว่า
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจาก พระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย
และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยปัจจุบันนี้เอง -webmaster) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน จักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน
และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิต เพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้
ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป
เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว และจากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา..... จาก http://www.jthai.ob.tc/article/dream.htm
เพลงเลือดนาวี
เลือดนาวี
เนื้อร้อง สกนธ์ มิตรานนท์
ทำนอง นารถ ถาวรบุตร
* (สร้อย) เลือดนาวีอุทิศพลีเพื่อไทย
ฝากชีพไว้รักษาแนวน่านน้ำ
เราเจ้าของถิ่นแหลมทองต้องจำ
มั่นในความสามัคคีต่อกัน
....
อันไตรรงค์ธงคู่ไทยถ้าแม้นผู้ใดเข้ามาย่ำ
สยามเราจะสู้ตายให้ลือนาม
(สร้อย)
แดนสยามงานสง่าใครล้ำเข้ามารุกราวี
ชีวิตเราไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงกลัว
(สร้อย)
ใจและกายเรายังอยู่จะขอเชิดชูชาติจนสิ้น
ทหารเรือเลือดเรารินโลมคงคา
(สร้อย)
ฟ้ากับน้ำงามสล้างชีวิตเปรียบดังลมและคลื่น
รักษาฝั่งให้ยั่งยืนตลอดกาล
(สร้อย)
-----------------
เพลงหน้าที่ทหารเรือ
หน้าที่ทหารเรือ
คำร้อง / ทำนอง สมยศ ทัศนพันธุ์
เรียบเรียง พ.จ.อ.ทองคำ ปราโมทย์
* ทหารเรือเชื้อไทยใจองอาจ
ยอมพลีกายหมายมาดป้องชาติไทย
ผยองเกียรติกล้าหาญการวินัย
มิยอมให้ใครบุกมาย่ำยี
ทหารเรือเชื้อไทยใจแกล้วกล้า
เอานาวาเป็นบ้านต่อต้านไพรี
จะขอเทิดธงไว้ใจภักดี
อุทิศชีพยอมพลีเพื่อชาติไทย
* เราเกิดมาจะต้องไว้ลายชาติชายทุกคน
ยอมสละตนดังวีรชนเลื่องลือยิ่งใหญ่
ไทยจะเป็นไทยศิวิลัยจงมาไวไวไวไวเร็วซิ
ทหารเรือทุกคนจงพร้อมใจ
นำเรือรบแล่นไปป้องปฐพี
จะสมเกียรติทหารการนาวี
ถนอมชาติให้ดีมีสุขเอย
----------------- เรือตรี สมยศ ทัศนพันธ์ หลังจากรับราชการอยู่เป็นเวลา 16 ปีจนกระทั่งมียศเป็นเรือตรี ในปี พ.ศ. 2499 จึงลาออก เพราะเห็นว่าชีวิตการเป็นนักร้องกับการรับราชการจะเจริญก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กันไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง และตั้งวงดนตรีในปี พ.ศ. 2502 ออกเดินสายรับใช้แฟนเพลงทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าวงดนตรี “สมยศ ทัศนพันธุ์” เป็นวงดนตรีวงแรกที่ออกเดินสายต่างจังหวัด
เพลงดาบของชาติ
ดาบของชาติ
... ดาบของชาติ เล่มนี้ คือชีวิตเรา
ถึงจะคม อยู่ดี ลับไว้
สำหรับสู้ ไพรี ให้ชาติ เรานา
ให้มิตรให้ เมียให้ ลูกแล้ ชาติไทย
=============
เพลง ดาบของชาติ เนื้อร้อง พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขับร้องโดย..เรือตรีสันติ ลุนเผ่ นักร้องในแนวเพลงปลุกใจ และเพลงคลาสสิก ที่มีชื่อเสียงของไทย ผลงานที่มีชื่อเสียงคืองานขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงรักชาติ เช่น ความฝันอันสูงสุด ทหารพระนเรศวร เพลงบรรเลง
12 กรกฎาคม 2557
เพลงวอล์ซนาวี
ทำนอง สมยศ ทัศนพันธ์
* ทะเลนั้นเป็นเหมือนถิ่นของเรา
จะขอเฝ้า ตราบจนชีวิตเราสิ้น
ยามคลื่นซัดกระเซ็น เช้าเย็นสำเนียงเคยชิน
เลือดไหลริน เพื่อคงเกียรติของนาวี
* ธงที่ถูกสายลม โบยสะบัดยังพัดพลิ้ว
ทิวท้องถิ่นทะเล มิยอมให้ใครย่ำยี
เรือแม้จะต้องจม เพื่อปกป้องเสรี
เราขอสละชีพพลี พร้อมกัน ทุกคน..
เพลงราชนาวี
ราชนาวี
เนื้อร้อง / ทำนอง น.อ. ภิญโญ พงษ์สมรวย
* หนึ่งพันห้าร้อยไมล์ทะเลไทยมีนาวีนี้เฝ้า
ข้าศึกฮึกเข้าระดมโจมตีนาวีนี้รบรับอยู่
ใหญ่กี่ตันต้องสู้กัน ฟาดฟันให้รู้
ไม่ปล่อยให้ฝ่ายศัตรู ล้ำอธิปไตย
(ซ้ำ *)
* เหมือนดอกประดู่ ชื่อดีนาวีเมืองทอง
เราชาตินักรบเกียรติก้องยามศึกเราต้องชิงชัย
เกิดมาทั้งทีไม่ทุกข์ก็สุขใจ
ไม่ว่าศึกเสือเหนือใต้ จมมันลงไปใต้บาดาล
(ซ้ำ *)
...แต่รบเราไม่ขลาด...
* ราชนาวี ชาติไทย
เราใจทหารเรือกล้าหาญ
ราชนาวีต้องการ เราทหารเรือรักชาติ
รบช่วยกันรบรั้วเราเข้มแข็ง
ทุ่มด้วยแรงนักรบองอาจ
สามัคคีในหมู่ทหารเหมือนญาติ
รบเพื่อชาติ ราชนาวี
(ซ้ำ*)
เพลงห้วงธารา
ห้วงธารา
เนื้อร้อง พยงค์ มุกดา
ทำนอง สง่า อารัมภีร์
* ห้วงธาราสุดตาฟ้าแดนไกล
พวกเราปองครองไว้ทั่วกัน
ท้องทะเลนี้เราหมายมั่น
ฝากชีวันไว้ในแดน แผ่นธารา
เรือล่องชลธาร แสนสำราญบ้านคือนาวา
หากผู้ใดรานรุกบุกมา พร้อมกันฟันฝ่าอันตราย
* ห้วงธาราสุดตาฟ้าแดนเรา
ที่จะเอาเป็นเหมือนเรือนตาย
ท้องทะเลนี้เรามิหน่าย
หากจะตายขอไว้ลายลูกทะเล
เรือล่องท่องไป ทั้งกายใจไม่ขอรวนเร
คลื่นจะโหมลมร้ายไม่เห ทะเลคือถิ่นเราเอย..
เพลงกองเรือยุทธการ
กองเรือยุทธการ
เนื้อร้อง / ทำนอง จ่าโท สมพร ธรรมาชัย
... กองเรือยุทธการมุ่งประจัญบานมาล้างไพรี
* เราเลือดนาวีต่างอุทิศชีวิตไว้กับเรือ
ทั้งเลือดเนื้อเราจะขอมอบให้แด่ชาติไทย
ยามศึกประชิดสุดชีวิตเรารบจนขาดใจ
ท้องทะเลของไทยจะมิยอมให้ใครย่ำยี
(ย้อน*)
* เรารักชาติเกียรติวินัยและกล้าหาญไปตลอดชีวี
เรารักและสามัคคีเหมือนมีจิตใจเป็นดวงเดียวกัน
เรารักสนุกสนานรื่นเริงสำราญตลอดชีวัน
เฮไหนเรานั้นเฮกันเพราะพวกเรานั้นเป็นลูกทะเล
(ย้อน*)
กองเรือยุทธการเราจะผยองเกียรติของนาวี
* แม้กำลังด้อยเราไม่พลอยหวาดผวา
เราพร้อมจะพากันบุกไปจนถึงที่
พบเรือศัตรูจะจู่โจมโดยทันที
มุ่งผลาญไพรีให้สิ้นจากน่านน้ำไทย
แม้เรือจะล่มจมด้วยกันไม่ครั่นคร้าม
เราพยายามจนสุดแรงเรารบได้
ถึงตัวจะตายเราก็ตายอย่างภูมิใจ
หากแม้ตายไปเพื่อไทยคงความเสรี..
เพลงมาร์ชราชนาวิกโยธิน
เพลงบรรเลง
...รุกรันฟันฝ่าในธาราสีคราม
สมเป็นดังนามราชนาวีไทย
รบรันฟันฟาดไม่ขลาดหวั่นไหว
มีศึกมาใกล้ไม่หวั่นครั่นคร้ามริปู
เราราชนาวิกโยธินของไทย
เรารวมกายใจกันไว้เชิดชู
เป็นแนวปราการรุกทานรบผลาญต่อต้านพร้อมพรู
เข้าฟาดฟันรบรันศัตรูขอสู้ขาดใจ
เมื่อเราเข้าประจัญจะผลาญให้สิ้นไป
ยอมพลีชีพเพื่อชาติไทย
รีบรุกบุกเข้าตีไม่หนีสู้เพื่อชัย
กายใจชีวิตมอบเป็นราชพลี
เราราชนาวิกโยธินของไทย
ชีวิตมลายคงไว้ศักดิ์ศรี
วิญญาณยืนยงคู่ธงนาวี
ดำรงเสรีศัตรูหลีกลี้หนีไป
แม้ชีวาเราจำต้องสิ้นสูญลง
แหลมทองยังคงเป็นขวัญคู่ไทย
น.ย.เกรียงไกรไว้ลายแม้ตายชื่อไม่สูญไป
ปกป้องไทยทั้งกายและใจขอไทยอยู่คง ..
============
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๒๙
ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๐๒ แล้วพระราชทานแก่กรมนาวิกโยธินตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานจาก พลเรือตรี สนอง นิสาลักษณ์ ผู้บังคับบัญชากรมนาวิกโยธินขณะนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วงดนตรีประจำกองเรือที่ ๗ ของสหรัฐอเมริกานำออกบรรเลงครั้งแรก ณ สนามกีฬาแห่งชาติ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ในงานแสดงของราชนาวีไทย-นาวิกโยธินอเมริกัน เพื่อหารายได้สมทบทุนมูลนิธิ "มหิดล" ในโอกาสที่นาวิกโยธินอเมริกันประจำกองเรือที่ ๗ ของสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนประเทศไทย สำหรับคำร้องภาษาไทย พลเรือโท จตุรงค์ พันธุ์คงชื่น และพลเรือโท สุมิตร ชื่นมนุษย์ (ขณะดำรงยศเป็น เรือเอก) ได้ร่วมกันแต่งถวายเพลงพระราชนิพนธ์นี้ไม่มีคำร้องภาษาอังกฤษ
เพลงลาสาวแม่กลอง
Embed Music - Audio Hosting - la-soaw
อีก version
ดาวโหลดเพลง
คำร้อง/ทำนอง คุณเกษม สุวรรณเมนะ
...สิ้นแสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัยสมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราชการทหารเรียกใช้ ลูกน้ำเค็มเข้าทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้ทุกกอง พี่ต้องขอลา
จากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา เมื่อสงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืนข้างแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระปฏิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมาร่วมใจ
>>>ป้อมพระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนให้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
===========
ยามที่ได้ยินเพลงนี้ จะต้องให้หวนระลึกถึงเมื่อครั้งปี 2530-2532 ที่เรา นรจ.30 ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิคส์ และ สื่อสาร ต้องมาใช้ชีวิตอาบเหงื่อต่างน้ำ ทุกวันที่ป้อมพระจุลฯ เมื่อระฆังดัง เป็ง-เป็ง... เป็ง! แสดงเวลา 05.30น. ดังขึ้น มีเสียงแตรปลุก ตามด้วย เสียงนกหวีดเรือ เพลงปลุก ของ ชั้น 2 ที่ทำหน้าที่จ่ายามเป่าจบลง นักเรียนจ่าหมดคน ก็จะตะโกน"สวัสดีครับ! ๆ ๆ ๆ ..." พร้อมกับลุกขึ้นเก็บพับที่นอนให้เรียบร้อย หยิบขัน สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน รีบล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ แล้วลงไปรอแถวที่หน้ากราบพัก เรือนนอนของตน นักเรียนปกครอง ก็จะทำหน้าที่ควบคุมแถว วิ่งออกกำลังกาย โดยรอบป้อมพระจุลฯ ทุกๆเช้า เพลงที่ไม่เคยขาด คือเพลงลาสาวแม่กลอง จะต้องถูกร้องไปในแถวทุกครั้ง จนเราจำกันได้ขึ้นใจ เม็ดเหงื่อที่หยดรดแผ่นดินที่ป้อมพระจุลฯ เป็นเวลา 2 ปี ทำให้เมื่อยามจากสถานที่นั้นมาแล้ว ถึงมันจะนานกี่ปี เพลงนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต..
ดาวโหลดเพลง
เพลงลาสาวแม่กลอง
ของคุณพนม นพพร ขับร้องต้นฉบับคำร้อง/ทำนอง คุณเกษม สุวรรณเมนะ
...สิ้นแสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัยสมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราชการทหารเรียกใช้ ลูกน้ำเค็มเข้าทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้ทุกกอง พี่ต้องขอลา
จากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา เมื่อสงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืนข้างแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระปฏิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมาร่วมใจ
>>>ป้อมพระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนให้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
===========
ยามที่ได้ยินเพลงนี้ จะต้องให้หวนระลึกถึงเมื่อครั้งปี 2530-2532 ที่เรา นรจ.30 ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิคส์ และ สื่อสาร ต้องมาใช้ชีวิตอาบเหงื่อต่างน้ำ ทุกวันที่ป้อมพระจุลฯ เมื่อระฆังดัง เป็ง-เป็ง... เป็ง! แสดงเวลา 05.30น. ดังขึ้น มีเสียงแตรปลุก ตามด้วย เสียงนกหวีดเรือ เพลงปลุก ของ ชั้น 2 ที่ทำหน้าที่จ่ายามเป่าจบลง นักเรียนจ่าหมดคน ก็จะตะโกน"สวัสดีครับ! ๆ ๆ ๆ ..." พร้อมกับลุกขึ้นเก็บพับที่นอนให้เรียบร้อย หยิบขัน สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน รีบล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ แล้วลงไปรอแถวที่หน้ากราบพัก เรือนนอนของตน นักเรียนปกครอง ก็จะทำหน้าที่ควบคุมแถว วิ่งออกกำลังกาย โดยรอบป้อมพระจุลฯ ทุกๆเช้า เพลงที่ไม่เคยขาด คือเพลงลาสาวแม่กลอง จะต้องถูกร้องไปในแถวทุกครั้ง จนเราจำกันได้ขึ้นใจ เม็ดเหงื่อที่หยดรดแผ่นดินที่ป้อมพระจุลฯ เป็นเวลา 2 ปี ทำให้เมื่อยามจากสถานที่นั้นมาแล้ว ถึงมันจะนานกี่ปี เพลงนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต..
10 กรกฎาคม 2557
แตรเดี่ยว
ก่อนจะไปฟังเสียงแตร
อ่านบทความพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ที่น่าประทับใจนี้ก่อน..
ทหารเป่าแตร
...เมื่อทรงเป็นยุวกษัตริย์นั้น ทรงโปรดขับรถยนต์ลองเครื่องอยู่เสมอ ทรงฉลองพระองค์ลำลอง ขับรถยนต์พระที่นั่งลองเครื่องผ่านออกประตูสวนจิตรลดา ทหารก็เรียกแถวเป่าแตรถวายความเคารพ ลองเครื่องพอพระราชหฤทัยแล้ว ก็ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเข้าประตูสวนจิตรลดาอีกครั้ง ทหารก็เรียกแถว เป่าแตรทำความเคารพตามระเบียบคือ ๓ จบ อีกครั้ง เมื่อรถยนต์พระที่นั่งลับตาไปแล้ว ทหารก็เข้าที่เดิม ทรงเลี้ยวรถกลับ แล้วขับมาอีก ทหารก็เป่าแตรเรียกแถวถวายความเคารพ ทรงเปิดกระจกหน้าต่างรถยนต์พระที่นั่ง แล้วยกพระหัตถ์ให้ทหารหยุดเป่าแตร ทรงรับสั่งให้นายพันผู้บังคับกองออกมาเฝ้า ทรงมีรับสั่งกับนายพันผู้นั้นมีความว่า “ การถวายความเคารพพระเจ้าอยู่หัวคือ รถยนต์พระที่นั่งมีธงมหาราชปักเป็นสำคัญ ขณะนี้ฉันเป็นเย็นเติลแมน เป็นสุภาพบุรุษคนธรรมดาไม่ต้องเป่าแตร ”
แตรปลุก
แตรรับประทานอาหาร
แตรเคารพธงชาติ-เคารพพระราชวงค์
แตรประชุมแถว(ก่อนปฏิบัติงาน)
อ่านบทความพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ที่น่าประทับใจนี้ก่อน..
ทหารเป่าแตร
...เมื่อทรงเป็นยุวกษัตริย์นั้น ทรงโปรดขับรถยนต์ลองเครื่องอยู่เสมอ ทรงฉลองพระองค์ลำลอง ขับรถยนต์พระที่นั่งลองเครื่องผ่านออกประตูสวนจิตรลดา ทหารก็เรียกแถวเป่าแตรถวายความเคารพ ลองเครื่องพอพระราชหฤทัยแล้ว ก็ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเข้าประตูสวนจิตรลดาอีกครั้ง ทหารก็เรียกแถว เป่าแตรทำความเคารพตามระเบียบคือ ๓ จบ อีกครั้ง เมื่อรถยนต์พระที่นั่งลับตาไปแล้ว ทหารก็เข้าที่เดิม ทรงเลี้ยวรถกลับ แล้วขับมาอีก ทหารก็เป่าแตรเรียกแถวถวายความเคารพ ทรงเปิดกระจกหน้าต่างรถยนต์พระที่นั่ง แล้วยกพระหัตถ์ให้ทหารหยุดเป่าแตร ทรงรับสั่งให้นายพันผู้บังคับกองออกมาเฝ้า ทรงมีรับสั่งกับนายพันผู้นั้นมีความว่า “ การถวายความเคารพพระเจ้าอยู่หัวคือ รถยนต์พระที่นั่งมีธงมหาราชปักเป็นสำคัญ ขณะนี้ฉันเป็นเย็นเติลแมน เป็นสุภาพบุรุษคนธรรมดาไม่ต้องเป่าแตร ”
แตรนอน
ดาวโหลดเพลงแตรปลุก
แตรรับประทานอาหาร
แตรเคารพธงชาติ-เคารพพระราชวงค์
แตรประชุมแถว(ก่อนปฏิบัติงาน)
09 กรกฎาคม 2557
เพลงเดินหน้า
Music Hosting - Play Audio - 14 Dern-nha
...เกิด มาทั้งที .มันก็ดี อยู่แต่เมื่อเป็น
.อีกสาม ร้อยปี .ก็ไม่มี ใครจะเห็น
.ใครเขาจะนึก ใครเขาจะฝัน .เขาก็ลืมกัน เหมือนตัวเล็น
.นานไป เขาก็ลืม .ใครหรือจะยืม ชีวิตให้เป็น
.ใคร จะเห็น ก็เห็นแต่น้ำใจ
.จำได้ แต่ชื่อ .ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.ตายแต่ตัว ชื่อยังฟุ้ง .ทั่วทั้งกรุง ก็ไม่ลืมได้
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์ .
.จะคิดถึงตัวเราใย .จะต้องตายทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืน แต่ชื่อ
.ให้โลกทั้งหลายเขาลือ
.ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.เกิดมาทั้งที .มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย
.วันนี้ เคราะห็ดี .รุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
.ดี เคยพบ ชั่วเคยเห็น .จนเคยเป็น มีเคยได้
.อนาคต เราไม่รู้ .ถึงไม่รู้ ก็ต้องเดินไป
.จะกลัว ไปใย .มันก็ร่วง ไปตามเวลา
.ไม่ตายวันนี้ .ก็คงไปซี้ เอาวันข้างหน้า
.วันนี้ยอ พรุ่งนี้ด่า .ไม่ใข่ขี้ข้า ปากของใคร
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์
.จะคิด ถึงตัวเราใย .จะต้องตาย ทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อ
.ให้โลก ทั้งหลาย เขาลือ
.ว่าตัว เราคือ ทหารเรือไทย..
============== เพลง "เดินหน้า" พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงนิพนธ์ เนื้อร้อง ทำนองนั้น มาจากเพลงคุณลุงคุณป้า ๒ ชั้น ซึ่งเป็น เพลงไทยเดิม
...เกิด มาทั้งที .มันก็ดี อยู่แต่เมื่อเป็น
.อีกสาม ร้อยปี .ก็ไม่มี ใครจะเห็น
.ใครเขาจะนึก ใครเขาจะฝัน .เขาก็ลืมกัน เหมือนตัวเล็น
.นานไป เขาก็ลืม .ใครหรือจะยืม ชีวิตให้เป็น
.ใคร จะเห็น ก็เห็นแต่น้ำใจ
.จำได้ แต่ชื่อ .ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.ตายแต่ตัว ชื่อยังฟุ้ง .ทั่วทั้งกรุง ก็ไม่ลืมได้
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์ .
.จะคิดถึงตัวเราใย .จะต้องตายทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืน แต่ชื่อ
.ให้โลกทั้งหลายเขาลือ
.ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.เกิดมาทั้งที .มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย
.วันนี้ เคราะห็ดี .รุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
.ดี เคยพบ ชั่วเคยเห็น .จนเคยเป็น มีเคยได้
.อนาคต เราไม่รู้ .ถึงไม่รู้ ก็ต้องเดินไป
.จะกลัว ไปใย .มันก็ร่วง ไปตามเวลา
.ไม่ตายวันนี้ .ก็คงไปซี้ เอาวันข้างหน้า
.วันนี้ยอ พรุ่งนี้ด่า .ไม่ใข่ขี้ข้า ปากของใคร
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์
.จะคิด ถึงตัวเราใย .จะต้องตาย ทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อ
.ให้โลก ทั้งหลาย เขาลือ
.ว่าตัว เราคือ ทหารเรือไทย..
============== เพลง "เดินหน้า" พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงนิพนธ์ เนื้อร้อง ทำนองนั้น มาจากเพลงคุณลุงคุณป้า ๒ ชั้น ซึ่งเป็น เพลงไทยเดิม
เพลงดอกประดู่
หะเบสสมอพลัน ออกสันดอนไป
ลัดไปเกาะสีชัง จนกระทั่งกระโจมไฟ
เที่ยวหาข้าศึก มิได้นึกจะกลับมาใน
ถึงตายตายไป ตายให้แก่ชาติของเรา
พวกเราดูรู้ เจ็บแล้วต้องจำ
ลับดาบไว้พลาง ช้างบนยอดกาฟฟ์จะนำ
สยามเป็นชาติของเรา ธงทุกเสาชักขึ้นทุกลำ
ถึงเรือจะจมในน้ำ ธงไม่ต่ำลงมา
เกิดมาเป็นไทย ใจร่วมกันแหละดี
รักเหมือนพี่เหมือนน้อง ช่วยกันป้องปฐพี
สยามเป็นชาติของเรา อย่าให้เขามาย่ำมายี
ถึงตายตายดี ตายในหน้าที่ของเรา
พวกเราทุกลำ จำเช่นดอกประดู่
วันไหนวันดี บานคลี่พร้อมอยู่
วันไหนร่วงโรย ดอกโปรยตกพรู
ทหารเรือเราจงดู ตายเป็นหมู่เพื่อชาติไทย ============
เพลง ดอกประดู่
หรือที่นิยมเรียกกันอีกอย่างว่าเพลง "หะเบสสมอพลัน" เป็นบทเพลงพระนิพนธ์ใน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เดิมเรียกชื่อว่า "Coming Thro' the Rye" ตามชื่อทำนองเพลงเดิมในภาษาอังกฤษ (เพลงนี้เป็นเพลงสก็อต เข้าใจกันว่าดัดแปลงทำนองมาจากเพลง Auld Lang Syne อีกทีหนึ่ง) แรงบันดาลใจสำคัญในการทรงนิพนธ์เพลงนี้คือเหตุการณ์วิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ซึ่งเป็นที่จดจำกันได้ดีทุกคนสำหรับคนไทยในยุคนั้น สันนิษฐานว่าทรงนิพนธ์เพลงดอกประดู่เมื่อ พ.ศ. 2448 เพลงนี้ถือเป็นเพลงสัญลักษณ์ของกองทัพเรือไทยที่คนไทยรู้จักกันดี และเป็นที่มาของการเปรียบเทียบตนเองของทหารเรือไทยว่า เป็น "ลูกประดู่" มาจนถึงทุกวันนี้
08 กรกฎาคม 2557
อันตรายจากสีทาบ้าน
อันตรายจากสีทาอาคารบ้านเรือน | |
วันชัย สุทธิทศธรรม
ปัจจุบันวิทยาการทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเจริญก้าวหน้ามากขึ้น มีการคิดค้นและผลิตสีออกมามากมายเพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์ โดยเฉพาะอุตสาหกรรมที่จำเป็นต้องใช้สีในการตกแต่งให้เกิดความสวยงาม ป้องกันสนิม ตลอดจนจุดประสงอื่นๆ ตามตอ้งการ ดังนั้นอุตสาหกรรมการผลิตสีจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งประเภทหนึ่ง โดยเฉพาะสีที่ใช้ทาอาคาร สำนักงาน โรงงาน ตลอดจนบ้านเรือนที่อยู่อาศัย แต่ที่กล่าวมาแล้วท่านทราบหรือไม่ว่าสีที่ใช้สำหรับทาอาคารบ้านเรือนต่างๆ เหล่านี้มีอันตรายแอบแฝงอยู่ ซึ่งจะได้กล่าวถึงอันตราย วิธีการใช้งาน และวิธีป้องกันอย่างไรให้เกิดความปลอดภัย ก่อนอื่นต้องทราบก่อนว่าสีทาอาคารคืออะไร มีส่วนประกอบอะไร สีทาอาคาร คือ ผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในรูปของเหลว ลักษณะเหนียวคล้ายแป้งเปียก (Paste)หรือ เป็นผง จะโดยการทา พ่น หรือ จุ่มบนผิววัตถุ หลังจากที่เคลือบแล้ว จะแปรสภาพเป็นฟิล์มแข็งที่ให้ความงดงาม และปกป้องรักษา หรือ เพื่อจุดประสงค์อื่น องค์ประกอบของสีมี 4 ชนิด คือ 1.สารนำสี (Binder agent) สารนำสี คือ สิ่งที่ใช้ยึดเหนี่ยวผงสี หรือ รงควัตถุที่อยู่ในชั้นของฟิล์มสีและทำให้ฟิล์มสียึดเกาะกับพื้นผิวที่เราเคลือบได้เป็นอย่างดี หรือ ที่หลายๆท่านเรียกว่า "กาว" ในปัจจุบันมีอยู่มากมายชนิด แบ่งได้ 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ1.1สารนำสีประเภทละลายน้ำได้ (Water base bindering agent) สารนำสีประเภทนี้มีคุณสมบัติละลายได้ในน้ำ นิยมใช้กับสีทาอาคารที่เรียกว่าสีน้ำ หรือ สีพลาสติก ตัวอย่างเช่น latex, vinyl acetate resins, acrylic resins, polyvinyl acetate copolymer 1.2สารนำสีประเภทละลายได้ในน้ำมัน (Oil base binding agent) สารนำสีประเภทนี้มีคุณสมบัติละลายได้ในน้ำมัน นิยมใช้กับสีทาอาคารบ้านเรือน เรียกว่า สีน้ำมัน ตัวอย่างเช่น alkyl resins, melamine resins, epoxy resins, formaldehyde resins, hydrocarbon resinsอาการพิษ ความเป็นพิษของสารนำสี ทั้งประเภทละลายได้ในน้ำ และ น้ำมัน จะมีอาการคล้ายกันคือ ทำให้เกิดอาการคลื่นไส้ อาเจียน ปวดศีรษะ ระคายเคืองเยื่อจมูกและตา ความเป็นพิษของสีทาอาคารส่วนใหญ่เกิดจากผงสีและตัวทำละลายที่ใช้ผสมมากกว่า 2.ผงสี (Pigment) ผงสี คือ ส่วนที่ทำให้เกิดสีสัน ตามที่ต้องการ ซึ่งสามารแบ่งออกได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ 2.1 ผงสีอินทรีย์ (Organic pigment) ผงสีประเภทนี้เป็นสารประกอบอินทรีย์ อาจได้จากธรรมชาติ หรือ สังเคราะห์ขึ้นมา ได้แก่ สารอินทรย์ในกลุ่ม azo dyesที่ได้จากธรรมชาติ กลุ่ม isocyanates และกลุ่ม Organometallic ฯลฯ ตัวอย่างผงสีอินทรีย์ที่ใช้ได้แก่ Hansa yellow, carbon black, phthalocyanide blue เป็นต้นอาการพิษ ส่วนมากจะเป็นสารก่อมะเร็ง และความเป็นพิษนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดต่างๆของผงอิทรีย์ 2.2 ผงอนินทรีย์ (Inorganic pigment) ผงสีประเภทนี้เป็นสารประกอบอนินทรีย์ ส่วนมากได้แก่ สารประกอบออกไซด์ของโลหะต่างๆ เช่น iron oxide, chrome yellow, titanium dioxide ฯลฯอาการพิษ ความเป็นพิษของผงสีอนินทรีย์ เป็นตัวการในการเกิดพิษของสีทาอาคาร ส่วนใหญ่เกิดจากโลหะต่างๆ ที่ผสมอยู่ มีคุณสมบัติในการเกิดพิษคล้ายกัน ยกเว้น คุณสมบัติบางชนิด เช่น การดูดซึมในทางเดินอาหาร การขับถ่ายออกจากร่างกาย และความรุนแรงของการเกิดพิษสามารถแบ่งประเภทต่างๆ ได้ดังนี้ 1.สารประกอบโลหะที่ทำให้เกิดโรคเกี่ยวข้องกับทางเดินหายใจส่วนใหญ่ ได้แก่ โลหะที่แขวนลอยอยู่ในอากาศ เช่น ออกไซด์ของเหล็ก ทังสเตน 2.โลหะที่มีผลต่อระบบต่างๆภายในร่างกาย เช่น โครเมียม นิเกิล ตะกั่ว สารหนู | |
3.ตัวทำละลาย (Solvents) ตัวทำละลายส่วนมากเป็นสารที่ระเหยได้ ใช้สำหรับช่วยให้เกิดความสะดวกสบายในการข่นส่ง และ ใช้งาน แบ่งได้ เป็น 2 ประเภทคือ ประเภทตัวทำละลายที่เป็นน้ำ และ ตัวทำละลายที่ใช้กับ oil base binding agent ซึ่งมีอยู่หลายประเภท แต่สามารถแบ่งเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ 4 ประเภท คือ 3.1.กลุ่มอะโรมาติก ไฮโดรคาร์บอน (Aromatic hydrocarbons) ได้แก่ toluene, benzene, xylene 3.2.กลุ่มเอสเทอร์ (Esters)ได้แก่ acetone, methyl ethyl ketone, methyl isobutyl ketone 3.3.กลุ่มอีเทอร์ (Ethers) ได้แก่ ethylene glycol monoethyl ether, ethylene glycol monomethyl ether, ethylene glycol monobutyl ether, ethylene glycol monoethyl ether acetateอาการพิษ 1.พิษเฉียบพลัน มักจะเกิดขึ้นทันทีหลังจากการสูดดม แต่อาการจะมากหรือน้อง ขึ้นอยู่กับชนิด และ ปริมาณที่สูดดมเข้าไป ถ้ารับในปริมาณสูงเกิดนขนาด สารระเหยจะไปกดศูนย์การหายใจ ทำให้ตายได้ อาการอื่นๆ ที่เกิดหลังจากการสูดดม ได้แก่ เริ่มแรกรู้สึกสบาย เป็นสุข เคลิบเคลิ้ม ศีรษะเบาหวิว ต่อมามีอาการคล้ายเมาสุรา พูดจาอ้อแอ้ ไม่ชัดเจน มีความไวต่อแสงมากขึ้น ประสาทหลอน ควบคุมตนเองไม่ได้ 2.พิษเรื้อรัง เกิดจากการสูดดมติดต่อกันเป็นเวลานานๆ ทำให้อวัยวะต่างๆในร่างกาย เสื่อมสมรรถภาพ เช่น เกิดการทำลายเยื่อบุของระบบทางเดินหายใจ มีการระคายเคืองเยื่อบุจมูก มีเลือดออก ผนังถุงลมและผนังหลอดเลือดฝอยในปอดถูกทำลาย เกิดอาการปอดอักเสบ และภาวะการหายใจล้มเหลว นอกจากนี้ยังมีผลต่อระบบสร้างเม็ดเลือด ระบบหัวใจ ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินอาหาร ระบบทางเดินปัสสาวะ ระบบกล้ามเนื้อ และระบบสืบพันธุ์ โดยเฉพาะการทำลายระบบประสาทส่วนกลาง ทำให้สมองหงุดหงิด อารมณ์อ่อนไหว การตัดสินใจเสียไป หวาดระแวงไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆ ตัว ขั้นรุนแรงทำให้เกิดการพิการทางสมองได้ 4.สารปรุงแต่ง (Additives) เป็นสารที่เติมลงไปเพื่อให้สีมีคุณสมบัติเฉพาะอย่างใดอย่างหนึ่ง ตามต้องการ ซึ่งประกอบด้วย 1.Plasticizer ทำหน้าที่ปรับความแข็งของฟิล์มสีเมื่อแข็งตัว เพิ่มความยืดหยุ่นของฟิล์มสี ให้สามารถทนแรงกระแทก การดัดงอ 2.สารฆ่าเชื้อแบคทีเรีย (Bactericide) ส่วนใหญ่จะใช้กับสีชนิด water base เพื่อป้องกันมิให้สีภายในภาชนะบรรจุสีเสื่อมสภาพ 3.สารฆ่าเชื้อรา (Fungicide) ใช้สำหรับป้องกันการขยายพันธุ์ และการเจริญเติบโตของสาหร่าย และเชื้อรา 4.สารกันฟอง (Defoamer) เพื่อป้องกันฟองอากาศ ทั้งในขั้นตองการผลิต และการใช้งาน 5.อื่นๆ ตามวัตถุประสงค์กาใช้งานอาการพิษ สารปรุงแต่ง จะใช้ในปริมาณน้อย และมีความเป็นพิษค่อนข้างเฉพาะตัวขึ้นอยู่กับชนิดของสารที่ใช้ การป้องกันอันตรายจากสีทาอาคาร 1.พยายามหลีกเลี่ยงไม่ให้สีนั้นเข้าสู่ร่างกาย 2.ควรสวมหน้ากากป้องกันละออกง และ ไอของสารพิษ 3.ไม่ควรสูบบุหรี่หรือ รับประทานอาหารขณะทำงานคลุกคลีกับสี 4.เมื่อเสร็จงานแล้วควรอาบน้ำ และทำความสะอาดชุดที่ทำงาน 5.เมื่อเกิดอาการแพ้ ควรรีบปรึกษาแพทย์ 6.เก็บสีให้ห่างจากอาหาร เด็ก และ เปลวไฟ การรักษาเบื้องต้น 1.สำหรับผู้ป่วยที่รับประทานสีเข้าไป ส่วนมากจะเกิดกับเด็กเล็ก จะเกิดอาการพิษเฉียบพลันหากกินเข้าไปเกิน 5 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม วิธีแก้ไข้เบื้องต้นคือ ทำให้อาเจียนโดยให้กินยาให้อาเจียน (Ipecac) และให้ผงถ่าน (Activated charcoal) แล้วนำส่งแพทย์ 2.กรณีสูดดม ให้นำผู้ป่วยไปรับอากาศบริสุทธิ์ เพื่อช่วยระบบหายใจ 3.กรณีเข้าตา จะทำให้เกิดการระคายเคืองอย่างมาก ให้ล้างตาด้วยน้ำสะอาดอย่างน้อย 15 นาที จนกว่าการมองเห็นจะปกติ 4.กรณีสัมผัสถูก ให้ล้างบริเวณที่สัมผัสด้วยสบู่อย่างอ่อนแล้วล้างน้ำสะอาดอีกครั้ง แต่ถ้าเป็นสีประเภท oil base ให้เช็ดด้วยน้ำมันพืช หรือ baby oil แล้วล้างน้ำสบู่และน้ำสะอาดอีกครั้งหนึ่งที่มา : หนังสือความรู้สิ่งเป็นพิษ ตอนที่ 10 พ.ศ.2538 กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หน้าที่ 5-11. |
หน่วยวัดสากลระบบไฟฟ้า
มาตรฐานทางไฟฟ้า
คำอุปสรรคที่ใช้กับหน่วยทางไฟฟ้า
คำอุปสรรคที่ใช้กับหน่วยทางไฟฟ้า
ปริมาณทางไฟฟ้า
|
หน่วย
|
สัญลักษณ์
|
ตัวคูณ
|
หน่วยคำเติมหน้า
|
สัญลักษณ์
|
กระแสไฟฟ้า
|
แอมแปร์
|
A
|
1012
|
เทระ(tera)
|
T
|
แรงดันไฟฟ้า
|
โวลต์
|
V
|
109
|
จิกะ(giga)
|
G
|
ความต้านทานทางไฟฟ้า
|
โอห์ม
|
Ω
|
106
|
เมกะ(maga)
|
M
|
กำลังไฟฟ้า
|
วัตต์
|
W
|
103
|
กิโล(kilo)
|
K
|
ความจุไฟฟ้า
|
ฟารัด
|
F
|
10-3
|
มิลลิ(milli)
|
m
|
ความเหนี่ยวนำไฟฟ้า
|
เฮนรี่
|
H
|
10-6
|
ไมโคร(micro)
|
µ
|
ความถี่
|
เฮิร์ต
|
Hz
|
10-9
|
นาโน(nano)
|
n
|
10-12
|
พิโค(pico)
|
p
|
1.กระแสไฟฟ้า หน่วย แอมแปร์ หรือที่เรียกสั้น ๆ ว่า แอมป์ (สัญลักษณ์ :A) เป็นหน่วยวัดกระแสไฟฟ้า หรือปริมาณของประจุไฟฟ้าต่อวินาที แอมแปร์เป็นหน่วยฐานเอสไอ ตั้งชื่อตามอ็องเดร-มารี อ็องแปร์ นักวิทยาศาสตร์ชาวฝรั่งเศส หนึ่งในผู้ค้นพบแม่เหล็กไฟฟ้า
2. แรงดันไฟฟ้า หน่วย โวลต์ (สัญลักษณ์ : V) คือหน่วยอนุพันธ์ในระบบเอสไอของความต่างศักย์ไฟฟ้า ปริมาณที่กำกับด้วยหน่วยโวลต์นั้นคือผลการวัดความเข้มของแหล่งจ่ายไฟฟ้าในแง่ที่ว่าจะสร้างพลังงานได้เท่าใดที่ระดับกระแสค่าหนึ่ง ๆ โวลต์ซึ่งเป็นชื่อของหน่วยนี้ตั้งขึ้นเพื่อเป็นเกียรติให้แก่ อาเลสซันโดร วอลตา (พ.ศ. 2288 - 2370) ผู้คิดค้นแบตเตอรี่เคมีชนิดแรกที่เรียกว่าเซลล์โวลตาอิก
3. ความต้านทานทางไฟฟ้า หน่วย โอห์ม (อังกฤษ: ohm) (สัญลักษณ์ : Ω) เป็นหน่วยเอสไอ (SI) International System of Units ของค่าอิมพีแดนซ์ทางไฟฟ้า ในกรณีของกระแสสลับ หรือค่าความต้านทานไฟฟ้า ในกรณีของกระแสตรง ตั้งชื่อตาม จอร์จ โอห์ม นักฟิสิกส์ชาวเยอรมัน
4.กำลังไฟฟ้า หน่วย วัตต์ (watt, สัญลักษณ์ W) เป็นหน่วยเอสไอของกำลังตั้งชื่อตาม เจมส์ วัตต์ ตัวอย่างพลังงานในหน่วยวัตต์ เช่น หลอดไฟที่ใช้ตามบ้านใช้ 100 วัตต์ ขณะที่ เขื่อนฮูเวอร์ผลิตสองพันล้านวัตต์
5. ความจุไฟฟ้า ฟารัด (มักออกเสียง ฟาหรัด) (สัญลักษณ์: F) เป็นหน่วยเอสไอของค่าความจุทางไฟฟ้า มักระบุเป็นค่าของตัวเก็บประจุ หรือคาปาซิเตอร์ ที่พบได้ทั่วไปในวงจรอิเล็กทรอนิกส์
6.ความเหนี่ยวนำไฟฟ้า หน่วย เฮนรี่ ตั้งชื่อตาม โจเซฟ เฮนรี่ ผลงานของเขามีมากมาย ได้แก่ การนำขดลวดพันรอบแกนเหล็กหลายๆ แบบ หลายๆรอบ และเมื่อปล่อยกระแสไฟฟ้าเข้าไป ทำให้เเกิดอำนาจแม่เหล็กขึ้น
ที่มา https://sites.google.com/site/mechatronicett09/project-definition/7-1
ที่มา https://sites.google.com/site/mechatronicett09/project-definition/7-1