หมวดหมู่
▼
22 กันยายน 2557
19 กันยายน 2557
สารคดี พระราชประวัติกรมหลวงชุมพรฯ
จากรายการ 1500 ไมล์
จากรายการ สะพานเดินเรือ ตอน 1
จากรายการ สะพานเดินเรือ ตอน 2
จากรายการ สะพานเดินเรือ ตอน 1
จากรายการ สะพานเดินเรือ ตอน 2
18 กันยายน 2557
ภาพชีวิตของ นรจ.
แม้ว่า ในอดีตที่เรากำลังศึกษาเล่าเรียนอยู่ในรั้วของ รร.ทหารเรือ กำลังเปลี่ยนชีวิตจากบุคคลพลเรือน สู่ชีวิตของทหารอาชีพ..
มักมีคำกล่าวถึงชีวิตของตนในขณะนั้นว่า..
"มีลูก สอนลูก, มีหลาน สอนหลาน เอาไว้เลยนะ ว่า.. อย่าให้มันมาเป็นเลย.. นักเรียนจ่าเนี่ย! มันสุดยอดของชีวิตความเป็นคนจริงๆ กินเหงื่อต่างน้ำจริงๆ"
ก็เพราะว่า ตั้งแต่ตื่นนอนตอนตีห้าครึ่งแล้ว มีแต่เหงื่อเปียกชุ่มตัวทั้งวัน ตื่นมา ก็ต้องรีบล้างหน้าแปรงฟัน... โถ! ก็พี่แกสั่งว่า "ให้เวลา 5 นาที ตอนนี้หมดไปแล้ว 4 นาที แล้วพอแค่อึดใจ พวกเล่นนับถอยหลัง.. 10.. 9.. 8.. 7.. 6.. 5.. 4.. 3.. 2.. 1.. หมดเวลา!"
แล้วก็กักพวกเข้าแถวไม่ทันไปทำโทษก่อนเข้าแถว... นี่ยกแรกของแถวเช้าออกกำลังกาย
จากนั้นชีวิตมันก็เป็นไปตามเวลา ตามระเบียบ..
เท่าที่จำได้คือ
0530 ตื่นตีห้าครึ่ง ออกกำลังกาย
0600 แล้วเข้าห้องทบทวน
0700 อาบน้ำเช้า
0730 มาแถวรับประทานอาหารเช้า
0800 แถวเคารพธง(ชาติ) และฟังอบรม แถวนี้แหละเหนื่อย.. ทั้งนายยาม จ่ายาม นักเรียนปกครอง เอาเรื่องอะไรกันนักหนาไม่รู้?... รู้แต่ "ชั้นหนึ่ง รับผิดชอบร่วมกัน.. เตรียมตัววิดพื้น.. (บ้าง) หรือ ชั้นหนึ่งทั้งหมด.. กอดคอ!... ปั๊ม 30 ครั้ง. ปฎิบัติ!..
(โอ๋ย!!!! ทำไม่ถึง10 เลย).... ห ยุ ด ! ทำไม่พร้อมกัน, ไม่เต็มใจทำ!
เอาใหม่ 50ครั้ง. ปฏิบัติ!
(ไอ๋หยา! ทำได้ซัก 30) หยุด!
ผมบอกพวกคุณแล้ว ทำ.. ก็ให้เต็มใจทำ.. ทำก็ให้มันพร้อมเพรียงกัน!(เอ๋.. ไอ้เรามันก็ไม่เห็นตัวเองทำสักหน่อย ก็ว่าตั้งใจแล้วนี่หน่า ฮ่วย!!! เหนื่อยก็เหนื่อยเน้อ!)
ทุกคน เตรียมตัวพุ่งหลัง..
30 ครั้ง. ปฎิบัติ!
(ในรอบปี ไม่เห็นจะมีอะไรต่างจากนี้สักเท่าไร มีแต่จะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น
0830 แถวตรวจพล ถ้าวันพฤหัสบดี ก็ตรวจเครื่องแต่งกายอีก..
คราวนี้ ข้อหา หนวดไม่โกน, จอนไม่กัน, ไม่ขยันขัดรองเท้า, ผ้าผูกคอดำไม่ดี, ผูกโบว์ไม่สวย, หมวกไม่ตรง, แขนเสื้อสั้น, ขากางเกงไม่บาน, ฯลฯ
0845 เข้าห้องเรียน
1200 แถวรับประทานอาหาร
1300 เข้าเรียน
1630 ออกกำลังกาย
1700 อาบน้ำ
1730 แถวรับประทานอาหาร
1800 ทบทวนวิชาเรียน
2000 แถวตรวจพลตอนค่ำ แถวนี้ เหมือนตอนเช้าแหละ... เหนื่อย.!
2100 นอน..
และพิเศษ ยามมีแถวระหว่างหลับ!
ชีวิต.. พอผ่านมาถึงวันนี้...
ขอกลับคำพูดว่า
"นี่คือ มหาลัยชีวิตลูกผู้ชาย.. ของเรา.."
หลายคน สามารถผ่านหลักสูตรความสามารถพิเศษทางการรบ เช่น มนุษย์กบ อย่างมีพื้นฐานที่สมบูรณ์ เพราะการเคี่ยวเข็ญเช่นนี้ และ ทุกคน ที่ผ่านหลักสูตรนี้ สามารถใช้ชีวิตทหารอาชีพ ที่เป็นทหารของพระราชาอย่างสมบูรณ์
ประวัติของโรงเรียนชุมพลทหารเรือ
ชีวิตในรั้ว รร.ชุมพลฯ ภาคสาธารณะ
การฝึกภาคทะเล
ป้อมพระจุลจอมเกล้า
มักมีคำกล่าวถึงชีวิตของตนในขณะนั้นว่า..
"มีลูก สอนลูก, มีหลาน สอนหลาน เอาไว้เลยนะ ว่า.. อย่าให้มันมาเป็นเลย.. นักเรียนจ่าเนี่ย! มันสุดยอดของชีวิตความเป็นคนจริงๆ กินเหงื่อต่างน้ำจริงๆ"
ก็เพราะว่า ตั้งแต่ตื่นนอนตอนตีห้าครึ่งแล้ว มีแต่เหงื่อเปียกชุ่มตัวทั้งวัน ตื่นมา ก็ต้องรีบล้างหน้าแปรงฟัน... โถ! ก็พี่แกสั่งว่า "ให้เวลา 5 นาที ตอนนี้หมดไปแล้ว 4 นาที แล้วพอแค่อึดใจ พวกเล่นนับถอยหลัง.. 10.. 9.. 8.. 7.. 6.. 5.. 4.. 3.. 2.. 1.. หมดเวลา!"
แล้วก็กักพวกเข้าแถวไม่ทันไปทำโทษก่อนเข้าแถว... นี่ยกแรกของแถวเช้าออกกำลังกาย
จากนั้นชีวิตมันก็เป็นไปตามเวลา ตามระเบียบ..
เท่าที่จำได้คือ
0530 ตื่นตีห้าครึ่ง ออกกำลังกาย
0600 แล้วเข้าห้องทบทวน
0700 อาบน้ำเช้า
0730 มาแถวรับประทานอาหารเช้า
0800 แถวเคารพธง(ชาติ) และฟังอบรม แถวนี้แหละเหนื่อย.. ทั้งนายยาม จ่ายาม นักเรียนปกครอง เอาเรื่องอะไรกันนักหนาไม่รู้?... รู้แต่ "ชั้นหนึ่ง รับผิดชอบร่วมกัน.. เตรียมตัววิดพื้น.. (บ้าง) หรือ ชั้นหนึ่งทั้งหมด.. กอดคอ!... ปั๊ม 30 ครั้ง. ปฎิบัติ!..
(โอ๋ย!!!! ทำไม่ถึง10 เลย).... ห ยุ ด ! ทำไม่พร้อมกัน, ไม่เต็มใจทำ!
เอาใหม่ 50ครั้ง. ปฏิบัติ!
(ไอ๋หยา! ทำได้ซัก 30) หยุด!
ผมบอกพวกคุณแล้ว ทำ.. ก็ให้เต็มใจทำ.. ทำก็ให้มันพร้อมเพรียงกัน!(เอ๋.. ไอ้เรามันก็ไม่เห็นตัวเองทำสักหน่อย ก็ว่าตั้งใจแล้วนี่หน่า ฮ่วย!!! เหนื่อยก็เหนื่อยเน้อ!)
ทุกคน เตรียมตัวพุ่งหลัง..
30 ครั้ง. ปฎิบัติ!
(ในรอบปี ไม่เห็นจะมีอะไรต่างจากนี้สักเท่าไร มีแต่จะมากน้อยกว่ากันเท่านั้น
0830 แถวตรวจพล ถ้าวันพฤหัสบดี ก็ตรวจเครื่องแต่งกายอีก..
คราวนี้ ข้อหา หนวดไม่โกน, จอนไม่กัน, ไม่ขยันขัดรองเท้า, ผ้าผูกคอดำไม่ดี, ผูกโบว์ไม่สวย, หมวกไม่ตรง, แขนเสื้อสั้น, ขากางเกงไม่บาน, ฯลฯ
0845 เข้าห้องเรียน
1200 แถวรับประทานอาหาร
1300 เข้าเรียน
1630 ออกกำลังกาย
1700 อาบน้ำ
1730 แถวรับประทานอาหาร
1800 ทบทวนวิชาเรียน
2000 แถวตรวจพลตอนค่ำ แถวนี้ เหมือนตอนเช้าแหละ... เหนื่อย.!
2100 นอน..
และพิเศษ ยามมีแถวระหว่างหลับ!
ชีวิต.. พอผ่านมาถึงวันนี้...
ขอกลับคำพูดว่า
"นี่คือ มหาลัยชีวิตลูกผู้ชาย.. ของเรา.."
หลายคน สามารถผ่านหลักสูตรความสามารถพิเศษทางการรบ เช่น มนุษย์กบ อย่างมีพื้นฐานที่สมบูรณ์ เพราะการเคี่ยวเข็ญเช่นนี้ และ ทุกคน ที่ผ่านหลักสูตรนี้ สามารถใช้ชีวิตทหารอาชีพ ที่เป็นทหารของพระราชาอย่างสมบูรณ์
ประวัติของโรงเรียนชุมพลทหารเรือ
ชีวิตในรั้ว รร.ชุมพลฯ ภาคสาธารณะ
การฝึกภาคทะเล
ป้อมพระจุลจอมเกล้า
03 กันยายน 2557
ภาระกิจของกรมอู่ทหารเรือ
เรานักเรียนจ่าทหารเรือ พรรคพิเศษ เหล่าไฟฟ้า รุ่น ๓๐ สังกัด กรมอู่ทหารเรือ
จึงขอนำเรื่องราว หน้าที่ ภาระกิจ และเป้าหมายในการปฏิบัติงาน รวมถึงประวัติการก่อตั้งหน่วยงาน มาให้ศึกษา ความเป็นมา, ความสำคัญของฟันเฟืองทุกชิ้น คือกำลังพลทุกนายในสังกัด ที่ทำให้ภาระกิจสนับสนุนการรบแก่ กองเรือรบไทยทรงพลังและอำนาจในการปกป้องคุ้มครองผลประโยชน์ของชาติ อีกทั้งการป้องกันประเทศ ให้มีประสิทธิภาพ
27 สิงหาคม 2557
แนะนำเรื่องสี
- ประสบการณ์งานทาสี
- เรื่องของการใช้สีทาอาคาร,ทาบ้าน มักจะถามถึง
- 1.ปริมาณของสีที่ใช้ทา
- 2.ทาไม้,เหล็ก หรือ ปูน
- 3.ทารองพื้นอย่างไร
- 4.ทาภายนอก-ภายใน
- 5.ใช้อะไรผสม
- 6.ทากี่เที่ยว
- 7.สีสรร ควรใช้สีอะไร
หากเราพิจารณาให้ถูกต้องแล้ว ราคาจะขึ้นอยู่ที่ปริมาณของสีเป็นหลักใหญ่ เราจึงจำเป็นต้องทราบพื้นที่เนื้องานที่เราต้องการจะทาสีในเบื้องต้น แต่ว่ามันอาจจะไม่ถูกต้องทุกอย่าง จึงได้เพียงคาดคะเนเอา ให้ใกล้เคียงมากที่สุด เป็นเพราะเหตุที่เราอาจคิดไม่ถึง เช่น..
ผนังอาคาร กำหนดหาพื้นที่คือ ความกว้างของผนังxความสูงของผนัง จะได้พื้นที่เป็นหน่วย ตร.ม. นำเอาพื้นที่ที่คำนวณได้ ไปเทียบค่าเฉลี่ยตามสถิติของบริษัทผู้ผลิตสี ก็จะได้ปริมาณสีที่เราจะทา
แต่หากเรามิได้เป็นช่างสีที่ชำนาญ เราคิดเพียงเท่านี้แล้วไปซื้อสีมาตามปริมาณที่คำนวณไว้ มาทากลับไม่พอบ้าง-เหลือบ้าง เพราะหลายเหตุที่เราอาจคิดไม่ครอบคลุม เช่น เราอาจคิดเพียงเที่ยวเดียว พอเห็นว่าสีทาแล้วไม่ขึ้น-ไม่เรียบ ไปทาซ้ำ สีก็ไม่พอ, หรือ คำนวณเผื่อ 2-3 รอบไว้แล้ว แต่ผนังไม่เรียบ ผิวขรุขระ ทำให้เนื้อสีเข้าไปตามที่ไม่เรียบนั้น ผนังนั้นก็กินสีเราไปมากกว่าที่คำนวณได้ก็มีหลายครั้งที่เกิดขึ้นบ่อยๆ หาก ผนังปูนเก่าแห้งสนิท ทาสีแล้วกินสีมากกว่า ปูนใหม่ที่ยังมีน้ำอิ่มตัวอยู่ ทำให้กินสีน้อยกว่า นี่ก็พบมามาก สีรองพื้นจึงสำคัญที่เราควรเลือกให้เหมาะสม เราจึงจะได้คุณภาพสีที่ราคาพอเหมาะ และอีกเรื่องคือ เราคำนวณแล้วไม่ได้หักพื้นที่ประตูหน้าต่าง เช่นติดบานกระจกเลื่อนที่ทำให้ พื้นที่ทาสีเหลือไม่มาก แต่ไม่ได้หักออก พอทาไปจบแล้ว สีเหลือมากกว่าที่คิด หรือทาเสากลม เสาเหลี่ยม ไม่ได้คิดพื้นที่ทาสีด้วย สีก็ขาด ไม่พอใช้เป็นต้น เรื่องของปริมาณที่จะซื้อ จึงได้เพียงคาดคะเนตามประสบการณ์ของช่างเป็นหลักบวกกับหลักการหาพื้นที่อย่างถูกต้อง จึงจะสามารถควบคุมค่าใช้จ่ายได้แม่นยำ
ส่วนเรื่องวัสดุที่เราจะลงสี เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากนำสีน้ำมาทาเหล็ก ทาไม้ เราจะเสียเงินไปเปล่าประโยชน์ เพราะใช้สีผิดประเภท
การรองพื้นวัสดุนั้น ควรซื้อมาให้เหมาะสม เช่นเหล็กเป็นสนิม ควรทากันสนิมรองพื้น ไม้เป็นเชื้อรา เป็นมอด เป็นปลวก ก็ควรลงสีเคมีไว้ และผนังปูน ต้องทราบว่า เป็นปูนใหม่-เก่า หรือเป็นประเภทไฟเบอร์ซีเมนต์ ไม้เทียม เป็นต้น ถ้าทราบ ก็จะทำให้เราได้วัสดุที่ทาสีออกมาแล้วมีความคงทนในการใช้งาน
สีทาภายนอก ภายใน ราคาแตกต่างกัน ความทนทานต่อแสงแดด ก็ต่างตามราคา เลือกให้เหมาะราคาก็จะเหมาะ การใช้งานก็จะใช้ได้นาน
ส่วนผสมของสีแตะละประเภท แตกต่างกัน เช่นสีน้ำทาปูน ใช้น้ำผสมได้แต่ก็ไม่ทุกอย่าง ต้องอ่านรายละเอียดให้ดีตามสีที่เราเลือกใช้ เช่นสีทองทาปูนบางชนิด ผสมทินเนอร์เฉพาะ ก็ต้องซื้อมาเฉพาะ จะมาผสมน้ำไม่ได้ เป็นต้น แม้แต่สีทาเหล็กผสมได้ทั้งทินเนอร์ และน้ำมันสน แต่ราคาน้ำมันสนถูกกว่า หากเราได้ช่างสีที่ชำนาญ ก็จะทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายด้านเทคนิคการผสมนี้ และสีที่ทาก็จะมีคุณภาพใช้ได้ยาวนาน
การทาสีบางครั้ง อาจกำหนดเที่ยวในการทาได้ยาก เพราะสีที่ทาแล้วดูดสี หรือทาไม่ขึ้นก็พบอยู่บ่อย หากใช้โดยทั่วไป รองพื้นครั้งเดียว ทาสีจริง 2 รอบ แต่ไม่ได้เป็นหลักตายตัวของทุกช่าง อันนี้จึงเป็นตัวแปรที่ทำให้การควบคุมค่าใช้จ่ายอาจจะไม่ตรง
และตัวอย่างสุดท้าย คือโทนสี ทีบางครั้ง หรือบ่อยครั้งที่ เจ้าของกำหนดสีที่ตนชอบ อาจด้วยใจรัก หรือ หมอท่านทักเอาไว้ก็แล้วแต่ พอทาออกมาแล้วสีมันไม่ตรงใจที่จินตนาการของตนเอง ผู้ที่โชคดีได้สีตรงใจ ก็อิ่มใจทุกครั้งที่อยู่ แต่หากตรงกันข้ามแล้ว มันจะให้ความรู้สึกยากจะทำใจ เพราะเราไม่เคยเห็นสีมี่ออกมาสำเร็จมาก่อน สีอาจแก่กว่า-อ่อนกว่าในตัวอย่างก็เป็นไปอย่างแน่นอน จากประสบการณ์ตรง เช่นสีกระป๋องเดียวกัน ทา 2 ที่ ที่หนึ่งโดนแดดมากว่า สีดูเข้มกว่า สีที่ทาในร่มและมีสีอื่นตัด ข่มสีที่ทาแล้วให้ดูว่าเป็นสีอ่อนไปทันที อารมณ์ของสีจึงแตกต่างกันไปมาก ทั้งๆที่สีมาจากกระป๋องเดียวกัน
ส่วนด้านล่าง เป็นตัวอย่างเนื้อหาที่ควรทราบเป็นพื้นฐาน
26 สิงหาคม 2557
ระลึกในคุณของอาจารย์
คำไว้อาลัย รศ.ดร.ชำนาญ ห่อเกียรติ
|
รศ.ดร.ชำนาญ ห่อเกียรติ เกิดเมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2492
จบการศึกษาชั้น มศ.3 ที่โรงเรียนอัสสัมชัญ บางรัก เมื่อปี 2507 และ ชั้น มศ.5 ที่โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษา
ในปี 2510 ได้เข้าศึกษาที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณมหาวิทยาลัย ในสาขาวิศวกรรมไฟฟ้า
จากนั้นได้รับทุน กพ. ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทและเอก ที่ University of Missouri-Rolla ประเทศสหรัฐอเมริกาตั้งแต่ปี 2515 และกลับเข้ารับราชการที่มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ตั้งแต่ ปี 2519 เป็นต้นมา
ด้านชีวิตครอบครัว สมรสกับ ดร.นิตยา ห่อเกียรติ และมีธิดา 1 คน คือ พญ.ชนันยา ห่อเกียรติ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งแพทย์ประจำโรงพยาบาลสวนผึ้ง จังหวัดราชบุรี
ด้านชีวิตการงาน ตำแหน่งสุดท้ายในการรับราชการของท่าน ท่านดำรงตำแหน่ง รองศาสตราจารย์ระดับ 9 รับผิดชอบงานสอนในระดับปริญญาโทและเอก ภาควิชาวิศวกรรมไฟฟ้า คณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์
ตลอดระยะเวลา 35 ปี ของชีวิตความเป็นอาจารย์คนหนึ่ง ซึ่งมุ่งหวังและทำทุกอย่างให้ลูกศิษย์ได้รับความรู้และเติบโตไปเป็นวิศวกรที่ดีและมีคุณภาพนั้น อาจารย์ได้ทำหน้าที่ของท่านอย่างสมบูรณ์แบบ กล่าวคือ ไม่เพียงแต่เป็นอาจารย์ผู้ประสิทธิ์ประสาทวิชาความรู้ให้เท่านั้น แต่อาจารย์ยังเป็นเสมือนเพื่อน พี่ชาย และพ่อ ผู้ให้คำแนะนำ และดูแลลูกศิษย์ของท่านอย่างเต็มกำลังความสามารถ
นอกจากงานด้านวิชาการในฐานะอาจารย์แล้ว ท่านยังได้อุทิศตนเพื่อทำงานด้านสังคมอีกมากมายในสมาคมวิชาชีพต่างๆ อาทิ เคยดำรงตำแหน่งนายกสมาคมไฟฟ้าแสงสว่างแห่งประเทศไทย นายกสมาคมวิศวกรออกแบบและปรึกษาเครื่องกลและไฟฟ้าไทย เลขาธิการวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ กรรมการสภาวิศวกร และเป็นที่ปรึกษาในสมาคมช่างเหมาไฟฟ้าและเครื่องกลไทย และสมาคมวิชาชีพด้านวิศวกรรม อีกหลายสมาคม
ในฐานะนักวิชาการ ท่านเป็นนักวิชาการที่มีวิสัยทัศน์กว้างไกล มีความคิดก้าวหน้า ท่านพร้อมจะให้โอกาสทุกๆคนที่มีเจตนาทำงานเพื่อส่วนรวมเสมอ อาจารย์เคยพูดไว้ว่า “ถ้าคุณนึกถึงตัวเองให้น้อยๆ คุณก็สามารถทำงานเพื่อคนอื่นได้มากขึ้น” ดังนั้นการทำงานของอาจารย์จึงยึดเอาประโยชน์ส่วนรวมเป็นหลัก ซึ่งการเล็งเห็นประโยชน์ส่วนรวมเป็นสำคัญนี้เองที่ทำให้อาจารย์ทุ่มเททำงานอย่างหนัก โดยมิได้หวังผลประโยชน์ตอบแทนใดๆ สิ่งนี้จึงเป็นเสมือนแรงบันดาลใจของใครหลายๆคน ให้มาร่วมทำกิจกรรมในสมาคมวิชาชีพต่างๆ จวบจนทุกวันนี้
จากเกียรติประวัติการทำงานต่างๆ ที่ผ่านมาตลอดชีวิต ทำให้ในปีนี้ ท่านได้รับเลือกให้เป็นวิศวกรดีเด่น สาขาวิศวกรรมไฟฟ้า ของวิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ และได้เป็นอาจารย์ดีเด่นด้านการบริการวิชาการ ของคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ ด้วย
การทำงานอย่างหนักเป็นระยะเวลาหลายสิบปีของท่านนี้เอง อาจเป็นจุดอ่อนจุดหนึ่งที่ทำให้โรคร้ายเข้ามาคุกคามท่านอย่างไม่ทันตั้งตัว อาจารย์มีกำลังใจดีมาก และยังได้อาศัยระยะเวลาช่วงที่มีอาการป่วยนานร่วม 8 เดือน ในการตอบคำถามทางเว็บไซต์ส่วนตัวของท่าน และแต่งตำราวิชาการขึ้นมาอีกหลายเล่ม อาจารย์ใช้เวลาทุกช่วงในชีวิตอย่างคุ้มค่าที่สุดจนกระทั่งวาระสุดท้าย และจากไปอย่างสงบ เมื่อเวลา 14.10 น. ของวันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน 2549
สิริอายุรวม 57 ปี 3 เดือน
ถึงแม้ว่าอาจารย์จะลาโลกนี้ไปแล้ว อาจารย์ก็จากไปแต่เพียงร่างกายเท่านั้น หากแต่จิตวิญญาณและความดีงามของท่านจะยังคงสถิตอยู่ในใจของพวกเราทุกคนเสมอ สิ่งที่อาจารย์ได้วางมาตรฐาน ระบบระเบียบ และแบบแผนทุกๆอย่างในการดำเนินงานเพื่อสังคมของท่าน จะยังคงเป็นแนวทางที่เราพร้อมจะยืนหยัดดำเนินรอยตามต่อไป
....และต่อจากนี้พวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าอาจารย์จะได้หยุดพักเพื่อเฝ้าดูพวกเราทำงานต่างๆที่อาจารย์ได้ริเริ่มไว้ ในอีกภพหนึ่ง ... ขอให้ดวงวิญญาณของอาจารย์เดินทางอย่างปลอดภัยไปสู่สัมปรายภพ หมดสิ้นซึ่งความห่วงกังวลใดๆในภพนี้ด้วยเทอญ..
ชำ กิ่งก้านสานต่อใบให้ผลดอก
นาญ นับปีผลเพาะออกงอกขยาย
ห่อ ห้อมล้อมหลอมรวมใจไม่เสื่อมคลาย
เกียรติ ก่อไว้จนวางวายไม่ลืมเลือน
|
16 สิงหาคม 2557
08 สิงหาคม 2557
22 กรกฎาคม 2557
ปฏิทิน 5 ปี
วันนี้ตรงกับ
ปีนักษัตร
|
S:อา | M:จ | T:อ | W:พ | T:พฤ | F:ศ | S:ส |
---|---|---|---|---|---|---|
เลือกเดือนปฏิทินที่ต้องการแสดง |
13 กรกฎาคม 2557
เพลง ความฝันอันสูงสุด
ต้นฉบับเดิม ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค ขับร้อง
เสียง เรือตรี สันติ ลุนเผ่ ขับร้อง
เนื้อเพลง เพลง : ความฝันอันสูงสุด
ศิลปิน : อัลบั้ม : ทำนอง :
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คำร้อง : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค
......
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=all4u&month=12-006&group=8&date=31&gblog=2
ประวัติของเพลง เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เล่าไว้ในหนังสือ "ภิรมย์รัตน์" ว่า เมื่อตามเสด็จฯไปอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้เขียนบทกลอนแสดงความนิยมส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจทำงานเพื่ออุดมคติเพื่อประเทศชาติ "ข้าพเจ้าค่อย ๆ คิดหาคำ กลั่นกรองให้ตรงกับความหมายเท่าที่จะสามารถ แล้วทูลเกล้าฯ ถวายทอดพระเนตร ทรงพระกรุณาติชม จนผลสุดท้ายออกมาเป็นกลอน ๕ บท ความบันดาลใจในเรื่องนี้มีที่มาจากการสังเกตของข้าพเจ้า ได้รู้เห็นพระราชอัธยาศัย พระราชจริยวัตร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เสื่อมคลาย" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดให้พิมพ์บทกลอนนี้ลงในกระดาษการ์ดแผ่นเล็ก ๆ พระราชทาน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี เพราะ บ้านเมืองขณะนั้นยุ่งอลเวง น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติ ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน "ความฝันอันสูงสุด" ดังที่เป็นเพลงพระราชนิพนธ์รู้จักกันแพร่หลายทุกวันนี้ นับเป็น เพลงพระราชนิพนธ์แรกที่ได้ทรงจากคำร้อง
ที่มา : http://www.thaiblogger.org/2006/07/27/kwarm-fun-un-soong-sood.html http://web.ku.ac.th/king72/2530/hight_dream.html
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาคประพันธ์กลอน ความฝันอันสูงสุด โดยถอดความมาจากเพลง The Impossible Dream ซึ่งเป็นเพลงละครบรอดเวย์ มาจากเรื่อง Man of La Mancha แสดงระหว่างปี 2508-2514 บทละครเขียนโดย Dale Wasserman ทำนองเพลงโดย Mitch Leigh และคำร้องโดย Joe Darion ต่อมาได้รับการสร้างเป็นหนังในปี 2515 เป็นเรื่องราวของดอน กิโฮเต้ (Don Quixote)
"The Impossible Dream"
Artist : Andy Williams
หรือ Elvis Presley (เท่าที่พบข้อมูล)
Album : เพลงละครบรอดเวย์
เรื่อง Man of La Mancha
ทำนอง : Mitch Leigh
คำร้อง : Joe Darion
.. To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are too weary
To reach the unreachable star
This is my quest
To follow that star
No matter how hopeless
No matter how far
To fight for the right
Without question or pause
To be willing to march into
Hell For a heavenly cause
And I know if I'll only be true
To this glorious quest
That my heart will lie peaceful and calm
When I'm laid to my rest
And the world will be better for this
That one man, scorned and covered with scars
Still strove with his last ounce of courage
To reach the unreachable star
ที่มา : http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1066 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=954652
พล ตต. เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน
รอง ผบ.ตำรวจตระเวนชายแดน
ได้เล่าประวัติความเป็นมา ของเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ไว้ในหนังสือ "วารสารลูกเสือชาวบ้าน" ของ มานพ ลิ้มจรูญ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อว่า
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจาก พระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย
และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยปัจจุบันนี้เอง -webmaster) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน จักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน
และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิต เพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้
ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป
เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว และจากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา..... จาก http://www.jthai.ob.tc/article/dream.htm
|
|
เนื้อเพลง เพลง : ความฝันอันสูงสุด
ศิลปิน : อัลบั้ม : ทำนอง :
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
คำร้อง : ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค
......
ขอฝันใฝ่ในฝันอันเหลือเชื่อ
ขอสู้ศึกทุกเมื่อไม่หวั่นไหว
ขอทนทุกข์รุกโรมโหมกายใจ
ขอฝ่าฟันผองภัยด้วยใจทะนง
จะแน่วแน่แก้ไขในสิ่งผิด
จะรักชาติจนชีวิตเป็นผุยผง
จะยอมตายหมายให้เกียรติดำรง
จะปิดทองหลังองค์พระปฏิมา
ไม่ท้อถอยคอยสร้างสิ่งที่ควร
ไม่เรรวนพะว้าพะวังคิดกังขา
ไม่เคืองแค้นน้อยใจในโชคชะตา
ไม่เสียดายชีวาถ้าสิ้นไป
นี่คือปณิธานที่หาญมุ่ง
หมายผดุงยุติธรรมอันสดใส
ถึงทนทุกข์ทรมานนานเท่าใด
ยังมั่นใจรักชาติองอาจครัน
โลกมนุษย์ย่อมจะดีกว่านี้แน่
เพราะมีผู้ไม่ยอมแพ้แม้ถูกหยัน
คงยืนหยัดสู้ไปใฝ่ประจัญ
ยอมอาสัญก็เพราะปองเทิดผองไทย
ที่มา : http://www.bloggang.com/viewdiary.php?id=all4u&month=12-006&group=8&date=31&gblog=2
ประวัติของเพลง เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๔๓ ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๑๔ ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาค เล่าไว้ในหนังสือ "ภิรมย์รัตน์" ว่า เมื่อตามเสด็จฯไปอยู่ที่พระตำหนักภูพิงคราชนิเวศน์ พ.ศ. ๒๕๑๒ ได้รับพระราชเสาวนีย์จากสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ให้เขียนบทกลอนแสดงความนิยมส่งเสริมคนดีให้มีกำลังใจทำงานเพื่ออุดมคติเพื่อประเทศชาติ "ข้าพเจ้าค่อย ๆ คิดหาคำ กลั่นกรองให้ตรงกับความหมายเท่าที่จะสามารถ แล้วทูลเกล้าฯ ถวายทอดพระเนตร ทรงพระกรุณาติชม จนผลสุดท้ายออกมาเป็นกลอน ๕ บท ความบันดาลใจในเรื่องนี้มีที่มาจากการสังเกตของข้าพเจ้า ได้รู้เห็นพระราชอัธยาศัย พระราชจริยวัตร ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประพฤติปฏิบัติอยู่ทุกเมื่อเชื่อวันไม่เสื่อมคลาย" สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถโปรดให้พิมพ์บทกลอนนี้ลงในกระดาษการ์ดแผ่นเล็ก ๆ พระราชทาน ข้าราชการ ทหาร ตำรวจ พลเรือน และผู้ทำงานเพื่อประเทศชาติ เตือนสติมิให้ท้อถอยในการทำความดี เพราะ บ้านเมืองขณะนั้นยุ่งอลเวง น่าเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติ ต่อมา สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถได้กราบบังคมทูลพระกรุณาขอให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงใส่ทำนองเพลงในคำกลอน "ความฝันอันสูงสุด" ดังที่เป็นเพลงพระราชนิพนธ์รู้จักกันแพร่หลายทุกวันนี้ นับเป็น เพลงพระราชนิพนธ์แรกที่ได้ทรงจากคำร้อง
ที่มา : http://www.thaiblogger.org/2006/07/27/kwarm-fun-un-soong-sood.html http://web.ku.ac.th/king72/2530/hight_dream.html
ท่านผู้หญิงมณีรัตน์ บุนนาคประพันธ์กลอน ความฝันอันสูงสุด โดยถอดความมาจากเพลง The Impossible Dream ซึ่งเป็นเพลงละครบรอดเวย์ มาจากเรื่อง Man of La Mancha แสดงระหว่างปี 2508-2514 บทละครเขียนโดย Dale Wasserman ทำนองเพลงโดย Mitch Leigh และคำร้องโดย Joe Darion ต่อมาได้รับการสร้างเป็นหนังในปี 2515 เป็นเรื่องราวของดอน กิโฮเต้ (Don Quixote)
"The Impossible Dream"
Artist : Andy Williams
หรือ Elvis Presley (เท่าที่พบข้อมูล)
Album : เพลงละครบรอดเวย์
เรื่อง Man of La Mancha
ทำนอง : Mitch Leigh
คำร้อง : Joe Darion
.. To dream the impossible dream
To fight the unbeatable foe
To bear with unbearable sorrow
To run where the brave dare not go
To right the unrightable wrong
To love pure and chaste from afar
To try when your arms are too weary
To reach the unreachable star
This is my quest
To follow that star
No matter how hopeless
No matter how far
To fight for the right
Without question or pause
To be willing to march into
Hell For a heavenly cause
And I know if I'll only be true
To this glorious quest
That my heart will lie peaceful and calm
When I'm laid to my rest
And the world will be better for this
That one man, scorned and covered with scars
Still strove with his last ounce of courage
To reach the unreachable star
ที่มา : http://www.212cafe.com/boardvip/view.php?user=cm99&id=1066 http://www.dek-d.com/board/view.php?id=954652
พล ตต. เจริญฤทธิ์ จำรัสโรมรัน
รอง ผบ.ตำรวจตระเวนชายแดน
ได้เล่าประวัติความเป็นมา ของเพลงพระราชนิพนธ์เพลงนี้ไว้ในหนังสือ "วารสารลูกเสือชาวบ้าน" ของ มานพ ลิ้มจรูญ ฉบับปฐมฤกษ์ ซึ่งขออนุญาตนำมาเผยแพร่ต่อว่า
เมื่อวันที่ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ เมื่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ และสมเด็จพระเจ้าลูกเธอฯ ได้เสด็จฯ ไปในงานพระราชพิธีสังเวยดวงวิญญาณอดีตมหาราช (สมเด็จพระนเรศวรมหาราช) ซึ่งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวได้ทรงปฏิบัติเป็นประจำทุกปี สำหรับในปี พ.ศ. ๒๕๑๕ นี้ ได้เสด็จฯ ไปที่ ต.แม่อาย อำเภอเชียงดาว จังหวัดเชียงใหม่ อันเป็นสถานที่ซึ่งพระบาทสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ได้เสด็จฯ มาตั้งค่ายพักแรม ณ ที่นี้ก่อนยกทัพเข้าไปตีเมือง ซึ่งยังปรากฏร่องรอยรั้วป้อมค่ายต่างๆ อยู่ และในปัจจุบันนี้ รัฐบาลได้สร้างอนุสาวรีย์ของพระบาทสมเด็จนเรศวรมหาราชทรงช้างต้น และได้จำลองค่ายที่ประทับแรมจินตนาการ และร่องรอยที่ปรากฏอยู่ตามสภาพจริง หลังจากเสร็จพระราชพิธี เมื่อ ๒๕ มกราคม ๒๕๑๕ แล้วเสด็จฯ กลับประทับแรม ณ พระตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ในคืนนั้น ก่อนรุ่งสว่าง สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้ทรงสุบินนิมิตว่า สมเด็จพระนเรศวรมหาราชได้เสด็จฯ มาปรากฏพระองค์ขึ้น ที่หน้าพระแท่นบรรทม ในพระสุบินนิมิต สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ได้กราบถวายบังคม โดยที่ทรงทราบจาก พระวรกายและฉลองพระองค์ทรงเครื่องออกศึกว่า คือ องค์พระนเรศวรมหาราช และได้มีกระแสพระดำรัส แก่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ท่านปัจจุบันนี้ ดวงพระวิญญาณยังอยู่ในประเทศไทย เพราะทรงเป็นห่วงบ้านเมือง ประชาชนคนไทย ยังไม่ได้ไปประสูติใหม่ ณ ที่ใดเลย
และที่มาปรากฏในสุบินนิมิตนี้ ก็เพื่อจะทรงเตือนว่า ในอนาคตต่อจากนี้ไป บ้านเมืองไทยจะประสบกับความวุ่นวายยุ่งยาก และความมืดมนยิ่งขึ้น อย่างน่ากลัวอันตราย เหมือนกับที่เกิดขึ้นในสมัยพระองค์ท่าน (อนาคตนั้นก็น่าจะเป็น สมัยปัจจุบันนี้เอง -webmaster) ขอให้สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ ทรงเป็นกำลังพระทัยถวาย แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน เพื่อที่จะได้ทรงนำประชาชน และชาติไทยฝ่าฟันอุปสรรคทั้งปวง ให้ผ่านพ้นไปได้ และพระองค์ทรงพิจารณาแล้วเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน จักเป็นผู้นำให้ชาติไทยและประชาชนชาวไทย ผ่านพ้นห้วงวิกฤตินี้อย่างแน่นอน
และพระองค์ท่านจะเสด็จฯ ติดตามช่วยเหลืออยู่ตลอดไป และขอให้ทั้งสองพระองค์ ได้ทรงให้กำลังใจแก่ประชาชนชาวไทยส่วนใหญ่ ที่เขาเหล่านั้น ไม่มีโอกาสเข้าใกล้ถวายงานโดยใกล้ชิด แต่เป็นประชาชนที่ยึดมั่นในพระองค์ท่าน โดยไม่เคยแสดงตัวออกมาให้ปรากฏ เหมือนกับการทำบุญปิดทองหลังองค์พระปฏิมา และเขาเหล่านั้นพร้อมที่จะถวายชีวิต เพื่อพระองค์ท่านและชาติไทย จึงทรงขอให้รวบรวมชาวไทยผู้รักชาติเหล่านั้น และสนับสนุนให้เขาได้มีกำลังใจเพื่อรักษาชาติบ้านเมืองไว้
ในพระสุบินนิมิตนั้น สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถว่า พระองค์ทรงสะดุ้งพระองค์ตื่นจากที่บรรทม และทรงประทับนั่งก็ยังทรงทอดพระเนตรเห็น องค์สมเด็จพระนเรศวรมหาราชปรากฏอยู่ จึงทรงปลุกพระบรรทมพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สมเด็จพระนเรศวรมหาราช ปรากฏให้ทั้งสองพระองค์ทอดพระเนตรเห็นชั่วครู่ ก็เสด็จฯ ไป
เมื่อทั้งสองพระองค์ได้ทรงถวายบังคมแล้ว และจากพระสุบินนี้เอง ทั้งสองพระองค์จึงได้ทรงพระราชนิพนธ์ เพลงความฝันอันสูงสุดนี้ขึ้น และได้พิมพ์เพลงพระราชนิพนธ์นี้ พระราชทานแก่ ข้าราชการทหาร ตำรวจ พลเรือน ที่ออกปฏิบัติหน้าที่ ป้องกันอธิปไตยของชาติโดยทั่วหน้า และได้โปรดเกล้าฯ ให้คุณทนงศักดิ์ ภักดีเทวา และคุณจินตนา สุขสถิตย์ ร้องเพลงนี้ สอนให้แก่ข้าราชการทหาร ตำรวจ และพลเรือน เป็นครั้งแรกที่ตำหนักภูพิงค์ราชนิเวศน์ ก่อนที่จะแพร่หลายไปทั่วประเทศในเวลาต่อมา..... จาก http://www.jthai.ob.tc/article/dream.htm
เพลงเลือดนาวี
เลือดนาวี
เนื้อร้อง สกนธ์ มิตรานนท์
ทำนอง นารถ ถาวรบุตร
* (สร้อย) เลือดนาวีอุทิศพลีเพื่อไทย
ฝากชีพไว้รักษาแนวน่านน้ำ
เราเจ้าของถิ่นแหลมทองต้องจำ
มั่นในความสามัคคีต่อกัน
....
อันไตรรงค์ธงคู่ไทยถ้าแม้นผู้ใดเข้ามาย่ำ
สยามเราจะสู้ตายให้ลือนาม
(สร้อย)
แดนสยามงานสง่าใครล้ำเข้ามารุกราวี
ชีวิตเราไม่หวาดหวั่นพรั่นพรึงกลัว
(สร้อย)
ใจและกายเรายังอยู่จะขอเชิดชูชาติจนสิ้น
ทหารเรือเลือดเรารินโลมคงคา
(สร้อย)
ฟ้ากับน้ำงามสล้างชีวิตเปรียบดังลมและคลื่น
รักษาฝั่งให้ยั่งยืนตลอดกาล
(สร้อย)
-----------------
เพลงหน้าที่ทหารเรือ
หน้าที่ทหารเรือ
คำร้อง / ทำนอง สมยศ ทัศนพันธุ์
เรียบเรียง พ.จ.อ.ทองคำ ปราโมทย์
* ทหารเรือเชื้อไทยใจองอาจ
ยอมพลีกายหมายมาดป้องชาติไทย
ผยองเกียรติกล้าหาญการวินัย
มิยอมให้ใครบุกมาย่ำยี
ทหารเรือเชื้อไทยใจแกล้วกล้า
เอานาวาเป็นบ้านต่อต้านไพรี
จะขอเทิดธงไว้ใจภักดี
อุทิศชีพยอมพลีเพื่อชาติไทย
* เราเกิดมาจะต้องไว้ลายชาติชายทุกคน
ยอมสละตนดังวีรชนเลื่องลือยิ่งใหญ่
ไทยจะเป็นไทยศิวิลัยจงมาไวไวไวไวเร็วซิ
ทหารเรือทุกคนจงพร้อมใจ
นำเรือรบแล่นไปป้องปฐพี
จะสมเกียรติทหารการนาวี
ถนอมชาติให้ดีมีสุขเอย
----------------- เรือตรี สมยศ ทัศนพันธ์ หลังจากรับราชการอยู่เป็นเวลา 16 ปีจนกระทั่งมียศเป็นเรือตรี ในปี พ.ศ. 2499 จึงลาออก เพราะเห็นว่าชีวิตการเป็นนักร้องกับการรับราชการจะเจริญก้าวหน้าไปพร้อม ๆ กันไม่ได้ ต้องเลือกเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง และตั้งวงดนตรีในปี พ.ศ. 2502 ออกเดินสายรับใช้แฟนเพลงทั่วประเทศ ซึ่งนับว่าวงดนตรี “สมยศ ทัศนพันธุ์” เป็นวงดนตรีวงแรกที่ออกเดินสายต่างจังหวัด
เพลงดาบของชาติ
ดาบของชาติ
... ดาบของชาติ เล่มนี้ คือชีวิตเรา
ถึงจะคม อยู่ดี ลับไว้
สำหรับสู้ ไพรี ให้ชาติ เรานา
ให้มิตรให้ เมียให้ ลูกแล้ ชาติไทย
=============
เพลง ดาบของชาติ เนื้อร้อง พลเรือเอกพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ขับร้องโดย..เรือตรีสันติ ลุนเผ่ นักร้องในแนวเพลงปลุกใจ และเพลงคลาสสิก ที่มีชื่อเสียงของไทย ผลงานที่มีชื่อเสียงคืองานขับร้องเพลงพระราชนิพนธ์ และเพลงรักชาติ เช่น ความฝันอันสูงสุด ทหารพระนเรศวร เพลงบรรเลง
12 กรกฎาคม 2557
เพลงวอล์ซนาวี
ทำนอง สมยศ ทัศนพันธ์
* ทะเลนั้นเป็นเหมือนถิ่นของเรา
จะขอเฝ้า ตราบจนชีวิตเราสิ้น
ยามคลื่นซัดกระเซ็น เช้าเย็นสำเนียงเคยชิน
เลือดไหลริน เพื่อคงเกียรติของนาวี
* ธงที่ถูกสายลม โบยสะบัดยังพัดพลิ้ว
ทิวท้องถิ่นทะเล มิยอมให้ใครย่ำยี
เรือแม้จะต้องจม เพื่อปกป้องเสรี
เราขอสละชีพพลี พร้อมกัน ทุกคน..
เพลงราชนาวี
ราชนาวี
เนื้อร้อง / ทำนอง น.อ. ภิญโญ พงษ์สมรวย
* หนึ่งพันห้าร้อยไมล์ทะเลไทยมีนาวีนี้เฝ้า
ข้าศึกฮึกเข้าระดมโจมตีนาวีนี้รบรับอยู่
ใหญ่กี่ตันต้องสู้กัน ฟาดฟันให้รู้
ไม่ปล่อยให้ฝ่ายศัตรู ล้ำอธิปไตย
(ซ้ำ *)
* เหมือนดอกประดู่ ชื่อดีนาวีเมืองทอง
เราชาตินักรบเกียรติก้องยามศึกเราต้องชิงชัย
เกิดมาทั้งทีไม่ทุกข์ก็สุขใจ
ไม่ว่าศึกเสือเหนือใต้ จมมันลงไปใต้บาดาล
(ซ้ำ *)
...แต่รบเราไม่ขลาด...
* ราชนาวี ชาติไทย
เราใจทหารเรือกล้าหาญ
ราชนาวีต้องการ เราทหารเรือรักชาติ
รบช่วยกันรบรั้วเราเข้มแข็ง
ทุ่มด้วยแรงนักรบองอาจ
สามัคคีในหมู่ทหารเหมือนญาติ
รบเพื่อชาติ ราชนาวี
(ซ้ำ*)
เพลงห้วงธารา
ห้วงธารา
เนื้อร้อง พยงค์ มุกดา
ทำนอง สง่า อารัมภีร์
* ห้วงธาราสุดตาฟ้าแดนไกล
พวกเราปองครองไว้ทั่วกัน
ท้องทะเลนี้เราหมายมั่น
ฝากชีวันไว้ในแดน แผ่นธารา
เรือล่องชลธาร แสนสำราญบ้านคือนาวา
หากผู้ใดรานรุกบุกมา พร้อมกันฟันฝ่าอันตราย
* ห้วงธาราสุดตาฟ้าแดนเรา
ที่จะเอาเป็นเหมือนเรือนตาย
ท้องทะเลนี้เรามิหน่าย
หากจะตายขอไว้ลายลูกทะเล
เรือล่องท่องไป ทั้งกายใจไม่ขอรวนเร
คลื่นจะโหมลมร้ายไม่เห ทะเลคือถิ่นเราเอย..
เพลงกองเรือยุทธการ
กองเรือยุทธการ
เนื้อร้อง / ทำนอง จ่าโท สมพร ธรรมาชัย
... กองเรือยุทธการมุ่งประจัญบานมาล้างไพรี
* เราเลือดนาวีต่างอุทิศชีวิตไว้กับเรือ
ทั้งเลือดเนื้อเราจะขอมอบให้แด่ชาติไทย
ยามศึกประชิดสุดชีวิตเรารบจนขาดใจ
ท้องทะเลของไทยจะมิยอมให้ใครย่ำยี
(ย้อน*)
* เรารักชาติเกียรติวินัยและกล้าหาญไปตลอดชีวี
เรารักและสามัคคีเหมือนมีจิตใจเป็นดวงเดียวกัน
เรารักสนุกสนานรื่นเริงสำราญตลอดชีวัน
เฮไหนเรานั้นเฮกันเพราะพวกเรานั้นเป็นลูกทะเล
(ย้อน*)
กองเรือยุทธการเราจะผยองเกียรติของนาวี
* แม้กำลังด้อยเราไม่พลอยหวาดผวา
เราพร้อมจะพากันบุกไปจนถึงที่
พบเรือศัตรูจะจู่โจมโดยทันที
มุ่งผลาญไพรีให้สิ้นจากน่านน้ำไทย
แม้เรือจะล่มจมด้วยกันไม่ครั่นคร้าม
เราพยายามจนสุดแรงเรารบได้
ถึงตัวจะตายเราก็ตายอย่างภูมิใจ
หากแม้ตายไปเพื่อไทยคงความเสรี..
เพลงมาร์ชราชนาวิกโยธิน
เพลงบรรเลง
...รุกรันฟันฝ่าในธาราสีคราม
สมเป็นดังนามราชนาวีไทย
รบรันฟันฟาดไม่ขลาดหวั่นไหว
มีศึกมาใกล้ไม่หวั่นครั่นคร้ามริปู
เราราชนาวิกโยธินของไทย
เรารวมกายใจกันไว้เชิดชู
เป็นแนวปราการรุกทานรบผลาญต่อต้านพร้อมพรู
เข้าฟาดฟันรบรันศัตรูขอสู้ขาดใจ
เมื่อเราเข้าประจัญจะผลาญให้สิ้นไป
ยอมพลีชีพเพื่อชาติไทย
รีบรุกบุกเข้าตีไม่หนีสู้เพื่อชัย
กายใจชีวิตมอบเป็นราชพลี
เราราชนาวิกโยธินของไทย
ชีวิตมลายคงไว้ศักดิ์ศรี
วิญญาณยืนยงคู่ธงนาวี
ดำรงเสรีศัตรูหลีกลี้หนีไป
แม้ชีวาเราจำต้องสิ้นสูญลง
แหลมทองยังคงเป็นขวัญคู่ไทย
น.ย.เกรียงไกรไว้ลายแม้ตายชื่อไม่สูญไป
ปกป้องไทยทั้งกายและใจขอไทยอยู่คง ..
============
เพลงพระราชนิพนธ์ลำดับที่ ๒๙
ทรงพระราชนิพนธ์ใน พ.ศ. ๒๕๐๒ แล้วพระราชทานแก่กรมนาวิกโยธินตามคำกราบบังคมทูลขอพระราชทานจาก พลเรือตรี สนอง นิสาลักษณ์ ผู้บังคับบัญชากรมนาวิกโยธินขณะนั้น ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้วงดนตรีประจำกองเรือที่ ๗ ของสหรัฐอเมริกานำออกบรรเลงครั้งแรก ณ สนามกีฬาแห่งชาติ เมื่อวันอาทิตย์ที่ ๕ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๐๒ ในงานแสดงของราชนาวีไทย-นาวิกโยธินอเมริกัน เพื่อหารายได้สมทบทุนมูลนิธิ "มหิดล" ในโอกาสที่นาวิกโยธินอเมริกันประจำกองเรือที่ ๗ ของสหรัฐอเมริกาเดินทางมาเยือนประเทศไทย สำหรับคำร้องภาษาไทย พลเรือโท จตุรงค์ พันธุ์คงชื่น และพลเรือโท สุมิตร ชื่นมนุษย์ (ขณะดำรงยศเป็น เรือเอก) ได้ร่วมกันแต่งถวายเพลงพระราชนิพนธ์นี้ไม่มีคำร้องภาษาอังกฤษ
เพลงลาสาวแม่กลอง
Embed Music - Audio Hosting - la-soaw
อีก version
ดาวโหลดเพลง
คำร้อง/ทำนอง คุณเกษม สุวรรณเมนะ
...สิ้นแสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัยสมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราชการทหารเรียกใช้ ลูกน้ำเค็มเข้าทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้ทุกกอง พี่ต้องขอลา
จากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา เมื่อสงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืนข้างแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระปฏิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมาร่วมใจ
>>>ป้อมพระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนให้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
===========
ยามที่ได้ยินเพลงนี้ จะต้องให้หวนระลึกถึงเมื่อครั้งปี 2530-2532 ที่เรา นรจ.30 ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิคส์ และ สื่อสาร ต้องมาใช้ชีวิตอาบเหงื่อต่างน้ำ ทุกวันที่ป้อมพระจุลฯ เมื่อระฆังดัง เป็ง-เป็ง... เป็ง! แสดงเวลา 05.30น. ดังขึ้น มีเสียงแตรปลุก ตามด้วย เสียงนกหวีดเรือ เพลงปลุก ของ ชั้น 2 ที่ทำหน้าที่จ่ายามเป่าจบลง นักเรียนจ่าหมดคน ก็จะตะโกน"สวัสดีครับ! ๆ ๆ ๆ ..." พร้อมกับลุกขึ้นเก็บพับที่นอนให้เรียบร้อย หยิบขัน สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน รีบล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ แล้วลงไปรอแถวที่หน้ากราบพัก เรือนนอนของตน นักเรียนปกครอง ก็จะทำหน้าที่ควบคุมแถว วิ่งออกกำลังกาย โดยรอบป้อมพระจุลฯ ทุกๆเช้า เพลงที่ไม่เคยขาด คือเพลงลาสาวแม่กลอง จะต้องถูกร้องไปในแถวทุกครั้ง จนเราจำกันได้ขึ้นใจ เม็ดเหงื่อที่หยดรดแผ่นดินที่ป้อมพระจุลฯ เป็นเวลา 2 ปี ทำให้เมื่อยามจากสถานที่นั้นมาแล้ว ถึงมันจะนานกี่ปี เพลงนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต..
ดาวโหลดเพลง
เพลงลาสาวแม่กลอง
ของคุณพนม นพพร ขับร้องต้นฉบับคำร้อง/ทำนอง คุณเกษม สุวรรณเมนะ
...สิ้นแสงดาว ดุเหว่าเร่าร้อง
จากสุมทุมลุ่มน้ำแม่กลอง พี่จำจากน้องคนงาม
แว่วหวูดรถไฟ พี่แสนอาลัยสมุทรสงคราม
คงละเมอเพ้อพร่ำ คิดถึงคนงามที่อยู่แม่กลอง
ราชการทหารเรียกใช้ ลูกน้ำเค็มเข้าทัพเรือไทย
ฝึกเตรียมเอาไว้ทุกกอง พี่ต้องขอลา
จากแล้วแก้วตาลาถิ่นแม่กลอง
คงหวนมาหาน้อง คนสวยแม่กลองคอยพี่กลับมา เมื่อสงกรานต์งานวัดบ้านแหลม
เคยเที่ยวชมกับโฉมแฉล้ม เมื่อคืนข้างแรมเมษา
สรงน้ำร่วมน้อง ปิดทองพระปฏิมา
อธิษฐานรักอยู่คู่ฟ้า หวังเกิดมาร่วมใจ
>>>ป้อมพระจุลไกลบ้านห่างน้อง
เมื่อฝนมาฟากฟ้าคะนอง ได้ยินถึงน้องหรือไม่
พี่ส่งสัญญาฝากฟ้าครวญมาจากห้วงหัวใจ
คือเสียงครวญหวนให้
ทหารเรือไทยยังห่วงแม่กลอง...
===========
ยามที่ได้ยินเพลงนี้ จะต้องให้หวนระลึกถึงเมื่อครั้งปี 2530-2532 ที่เรา นรจ.30 ไฟฟ้า อิเล็คทรอนิคส์ และ สื่อสาร ต้องมาใช้ชีวิตอาบเหงื่อต่างน้ำ ทุกวันที่ป้อมพระจุลฯ เมื่อระฆังดัง เป็ง-เป็ง... เป็ง! แสดงเวลา 05.30น. ดังขึ้น มีเสียงแตรปลุก ตามด้วย เสียงนกหวีดเรือ เพลงปลุก ของ ชั้น 2 ที่ทำหน้าที่จ่ายามเป่าจบลง นักเรียนจ่าหมดคน ก็จะตะโกน"สวัสดีครับ! ๆ ๆ ๆ ..." พร้อมกับลุกขึ้นเก็บพับที่นอนให้เรียบร้อย หยิบขัน สบู่ แปรงสีฟัน ยาสีฟัน รีบล้างหน้าล้างตาให้เสร็จ แล้วลงไปรอแถวที่หน้ากราบพัก เรือนนอนของตน นักเรียนปกครอง ก็จะทำหน้าที่ควบคุมแถว วิ่งออกกำลังกาย โดยรอบป้อมพระจุลฯ ทุกๆเช้า เพลงที่ไม่เคยขาด คือเพลงลาสาวแม่กลอง จะต้องถูกร้องไปในแถวทุกครั้ง จนเราจำกันได้ขึ้นใจ เม็ดเหงื่อที่หยดรดแผ่นดินที่ป้อมพระจุลฯ เป็นเวลา 2 ปี ทำให้เมื่อยามจากสถานที่นั้นมาแล้ว ถึงมันจะนานกี่ปี เพลงนี้ก็ยังคงอยู่ในความทรงจำไปตลอดชีวิต..
10 กรกฎาคม 2557
แตรเดี่ยว
ก่อนจะไปฟังเสียงแตร
อ่านบทความพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ที่น่าประทับใจนี้ก่อน..
ทหารเป่าแตร
...เมื่อทรงเป็นยุวกษัตริย์นั้น ทรงโปรดขับรถยนต์ลองเครื่องอยู่เสมอ ทรงฉลองพระองค์ลำลอง ขับรถยนต์พระที่นั่งลองเครื่องผ่านออกประตูสวนจิตรลดา ทหารก็เรียกแถวเป่าแตรถวายความเคารพ ลองเครื่องพอพระราชหฤทัยแล้ว ก็ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเข้าประตูสวนจิตรลดาอีกครั้ง ทหารก็เรียกแถว เป่าแตรทำความเคารพตามระเบียบคือ ๓ จบ อีกครั้ง เมื่อรถยนต์พระที่นั่งลับตาไปแล้ว ทหารก็เข้าที่เดิม ทรงเลี้ยวรถกลับ แล้วขับมาอีก ทหารก็เป่าแตรเรียกแถวถวายความเคารพ ทรงเปิดกระจกหน้าต่างรถยนต์พระที่นั่ง แล้วยกพระหัตถ์ให้ทหารหยุดเป่าแตร ทรงรับสั่งให้นายพันผู้บังคับกองออกมาเฝ้า ทรงมีรับสั่งกับนายพันผู้นั้นมีความว่า “ การถวายความเคารพพระเจ้าอยู่หัวคือ รถยนต์พระที่นั่งมีธงมหาราชปักเป็นสำคัญ ขณะนี้ฉันเป็นเย็นเติลแมน เป็นสุภาพบุรุษคนธรรมดาไม่ต้องเป่าแตร ”
แตรปลุก
แตรรับประทานอาหาร
แตรเคารพธงชาติ-เคารพพระราชวงค์
แตรประชุมแถว(ก่อนปฏิบัติงาน)
อ่านบทความพระมหากรุณาธิคุณของในหลวง ที่น่าประทับใจนี้ก่อน..
ทหารเป่าแตร
...เมื่อทรงเป็นยุวกษัตริย์นั้น ทรงโปรดขับรถยนต์ลองเครื่องอยู่เสมอ ทรงฉลองพระองค์ลำลอง ขับรถยนต์พระที่นั่งลองเครื่องผ่านออกประตูสวนจิตรลดา ทหารก็เรียกแถวเป่าแตรถวายความเคารพ ลองเครื่องพอพระราชหฤทัยแล้ว ก็ทรงขับรถยนต์พระที่นั่งเข้าประตูสวนจิตรลดาอีกครั้ง ทหารก็เรียกแถว เป่าแตรทำความเคารพตามระเบียบคือ ๓ จบ อีกครั้ง เมื่อรถยนต์พระที่นั่งลับตาไปแล้ว ทหารก็เข้าที่เดิม ทรงเลี้ยวรถกลับ แล้วขับมาอีก ทหารก็เป่าแตรเรียกแถวถวายความเคารพ ทรงเปิดกระจกหน้าต่างรถยนต์พระที่นั่ง แล้วยกพระหัตถ์ให้ทหารหยุดเป่าแตร ทรงรับสั่งให้นายพันผู้บังคับกองออกมาเฝ้า ทรงมีรับสั่งกับนายพันผู้นั้นมีความว่า “ การถวายความเคารพพระเจ้าอยู่หัวคือ รถยนต์พระที่นั่งมีธงมหาราชปักเป็นสำคัญ ขณะนี้ฉันเป็นเย็นเติลแมน เป็นสุภาพบุรุษคนธรรมดาไม่ต้องเป่าแตร ”
แตรนอน
ดาวโหลดเพลงแตรปลุก
แตรรับประทานอาหาร
แตรเคารพธงชาติ-เคารพพระราชวงค์
แตรประชุมแถว(ก่อนปฏิบัติงาน)
09 กรกฎาคม 2557
เพลงเดินหน้า
Music Hosting - Play Audio - 14 Dern-nha
...เกิด มาทั้งที .มันก็ดี อยู่แต่เมื่อเป็น
.อีกสาม ร้อยปี .ก็ไม่มี ใครจะเห็น
.ใครเขาจะนึก ใครเขาจะฝัน .เขาก็ลืมกัน เหมือนตัวเล็น
.นานไป เขาก็ลืม .ใครหรือจะยืม ชีวิตให้เป็น
.ใคร จะเห็น ก็เห็นแต่น้ำใจ
.จำได้ แต่ชื่อ .ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.ตายแต่ตัว ชื่อยังฟุ้ง .ทั่วทั้งกรุง ก็ไม่ลืมได้
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์ .
.จะคิดถึงตัวเราใย .จะต้องตายทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืน แต่ชื่อ
.ให้โลกทั้งหลายเขาลือ
.ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.เกิดมาทั้งที .มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย
.วันนี้ เคราะห็ดี .รุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
.ดี เคยพบ ชั่วเคยเห็น .จนเคยเป็น มีเคยได้
.อนาคต เราไม่รู้ .ถึงไม่รู้ ก็ต้องเดินไป
.จะกลัว ไปใย .มันก็ร่วง ไปตามเวลา
.ไม่ตายวันนี้ .ก็คงไปซี้ เอาวันข้างหน้า
.วันนี้ยอ พรุ่งนี้ด่า .ไม่ใข่ขี้ข้า ปากของใคร
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์
.จะคิด ถึงตัวเราใย .จะต้องตาย ทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อ
.ให้โลก ทั้งหลาย เขาลือ
.ว่าตัว เราคือ ทหารเรือไทย..
============== เพลง "เดินหน้า" พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงนิพนธ์ เนื้อร้อง ทำนองนั้น มาจากเพลงคุณลุงคุณป้า ๒ ชั้น ซึ่งเป็น เพลงไทยเดิม
...เกิด มาทั้งที .มันก็ดี อยู่แต่เมื่อเป็น
.อีกสาม ร้อยปี .ก็ไม่มี ใครจะเห็น
.ใครเขาจะนึก ใครเขาจะฝัน .เขาก็ลืมกัน เหมือนตัวเล็น
.นานไป เขาก็ลืม .ใครหรือจะยืม ชีวิตให้เป็น
.ใคร จะเห็น ก็เห็นแต่น้ำใจ
.จำได้ แต่ชื่อ .ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.ตายแต่ตัว ชื่อยังฟุ้ง .ทั่วทั้งกรุง ก็ไม่ลืมได้
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์ .
.จะคิดถึงตัวเราใย .จะต้องตายทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืน แต่ชื่อ
.ให้โลกทั้งหลายเขาลือ
.ว่าตัวเราคือ ทหารเรือไทย
.เกิดมาทั้งที .มันก็มีอยู่แต่ทุกข์ภัย
.วันนี้ เคราะห็ดี .รุ่งขึ้นพรุ่งนี้จะเป็นอย่างไร
.ดี เคยพบ ชั่วเคยเห็น .จนเคยเป็น มีเคยได้
.อนาคต เราไม่รู้ .ถึงไม่รู้ ก็ต้องเดินไป
.จะกลัว ไปใย .มันก็ร่วง ไปตามเวลา
.ไม่ตายวันนี้ .ก็คงไปซี้ เอาวันข้างหน้า
.วันนี้ยอ พรุ่งนี้ด่า .ไม่ใข่ขี้ข้า ปากของใคร
.ทั้งเซ้าท์ ทั้งเวสท์ .ทั้งน๊อท ทั้งอีสท์
.จะคิด ถึงตัวเราใย .จะต้องตาย ทุกคนไป
.ส่วนตัว เราตาย .ไว้ยืน ไว้ยืนแต่ชื่อ
.ให้โลก ทั้งหลาย เขาลือ
.ว่าตัว เราคือ ทหารเรือไทย..
============== เพลง "เดินหน้า" พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าอาภากรเกียรติวงศ์ กรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ทรงนิพนธ์ เนื้อร้อง ทำนองนั้น มาจากเพลงคุณลุงคุณป้า ๒ ชั้น ซึ่งเป็น เพลงไทยเดิม
เพลงดอกประดู่
หะเบสสมอพลัน ออกสันดอนไป
ลัดไปเกาะสีชัง จนกระทั่งกระโจมไฟ
เที่ยวหาข้าศึก มิได้นึกจะกลับมาใน
ถึงตายตายไป ตายให้แก่ชาติของเรา
พวกเราดูรู้ เจ็บแล้วต้องจำ
ลับดาบไว้พลาง ช้างบนยอดกาฟฟ์จะนำ
สยามเป็นชาติของเรา ธงทุกเสาชักขึ้นทุกลำ
ถึงเรือจะจมในน้ำ ธงไม่ต่ำลงมา
เกิดมาเป็นไทย ใจร่วมกันแหละดี
รักเหมือนพี่เหมือนน้อง ช่วยกันป้องปฐพี
สยามเป็นชาติของเรา อย่าให้เขามาย่ำมายี
ถึงตายตายดี ตายในหน้าที่ของเรา
พวกเราทุกลำ จำเช่นดอกประดู่
วันไหนวันดี บานคลี่พร้อมอยู่
วันไหนร่วงโรย ดอกโปรยตกพรู
ทหารเรือเราจงดู ตายเป็นหมู่เพื่อชาติไทย ============
เพลง ดอกประดู่
หรือที่นิยมเรียกกันอีกอย่างว่าเพลง "หะเบสสมอพลัน" เป็นบทเพลงพระนิพนธ์ใน พลเรือเอก พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงชุมพรเขตรอุดมศักดิ์ เดิมเรียกชื่อว่า "Coming Thro' the Rye" ตามชื่อทำนองเพลงเดิมในภาษาอังกฤษ (เพลงนี้เป็นเพลงสก็อต เข้าใจกันว่าดัดแปลงทำนองมาจากเพลง Auld Lang Syne อีกทีหนึ่ง) แรงบันดาลใจสำคัญในการทรงนิพนธ์เพลงนี้คือเหตุการณ์วิกฤตการณ์ปากน้ำ ร.ศ. 112 (พ.ศ. 2436) ซึ่งเป็นที่จดจำกันได้ดีทุกคนสำหรับคนไทยในยุคนั้น สันนิษฐานว่าทรงนิพนธ์เพลงดอกประดู่เมื่อ พ.ศ. 2448 เพลงนี้ถือเป็นเพลงสัญลักษณ์ของกองทัพเรือไทยที่คนไทยรู้จักกันดี และเป็นที่มาของการเปรียบเทียบตนเองของทหารเรือไทยว่า เป็น "ลูกประดู่" มาจนถึงทุกวันนี้